ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #27 : CHAPTER 25

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 668
      1
      25 ต.ค. 56

    CHAPTER 25

     

     

     

     

     

     

               

    หลังจากที่ลาคริสเพื่อบอกว่าตัวเองจะกลับจีนเสร็จ ลู่ฮานก็ตรงไปที่สนามบินทันที โดยไม่ได้บอกใคร และน่าจะมีเพียงคริสคนเดียวที่รู้เพราะว่าการไปล่ำลาอีกฝ่ายพร้อมกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบก็คล้ายกับการบอกโดยปริยายนั่นแหละ

     
     

    อาจเป็นครั้งแรกที่ลู่ฮานยิ้มให้จุนมยอนด้วยความจริงใจ หลังจากที่เดินสวนกันตรงหน้าหอพัก โดยยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เลือกที่จะหลบสายตาหนีแล้วเลี่ยงเดินจากไปเสียก่อน พวกเขาไม่ได้สนิทกัน รู้จักกันก็เพียงผิวเผิน จึงไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบอก และถึงแม้ลู่หานจะมีความคิดรวมถึงทัศนคติที่ไม่ดีต่อจุนมยอนมาตั้งแต่ตน แต่เขาก็ไม่ได้อยากเผยความคิดความรู้สึกพวกนั้นออกมาให้กลายเป็นควา,คลางแคลงใจต่อไปหลังจากนี้ ระหว่างพวกเขาให้มันจบไปอย่างไม่มีอะไรในความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างนี้น่ะดีที่สุดแล้ว

     

     

    “เฮ้อ” คนตัวบางถอนหายใจ ควันสีขาวออกมาจากริมฝีปากสีสดครั้งแล้วครั้งเล่า ลอยคว้างได้อยู่ในอากาศเพียงไม่ถึงวินาทีแล้วก็จางหายไป

     
     

    ลู่หานพยายามคิดให้ได้แบบนั้น ต้องเข้าใจให้ได้ว่าไอ้อารมณ์เศร้าๆเหงาๆที่มันเกิดขึ้นและโจมตีเข้าสู่จิตใจอย่างไม่หยุดหย่อนในตอนนี้ อีกไม่นาน... คงไม่นาน มันก็คงจะจางห่างหายออกไปจากใจได้เหมือนกัน

     
     

    สองเท้าย่างอย่างเชื่องช้า ในตอนที่เดินอยู่บริเวณทางเท้าก่อนจะเข้าถึงประตูทางเข้าอาคารของสนามบิน หนึ่งมือหลบเลี่ยงความเย็นอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท ส่วนอีกมือยึดด้ามจับกระเป๋าเพื่อพาไปด้วยกัน ดวงตาคู่กลมเอาแต่เหลือบต่ำมองทางเท้า กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ความหวังของเขาคืออยากมองหน้าคริสได้เหมือนเดิม และรู้ว่ามันเป็นไปได้ แต่อาจจะต้องให้เวลา ตอนนี้ก็เลยได้แต่เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้มันนานเกินไป ลู่หานไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะอดทนรออย่างใจเย็นได้นานตราบเท่าที่อีกฝ่ายต้องการมั้ย เพราะหากว่าต้องรอนานถึงขนาดนั้น เขาก็แค่กลัวว่าตัวเองอาจจะก่อเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจซ้ำๆ

     
     

    “โอ๊ะ!” เสียงอุทานเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากทันควันหลังจากมีอะไรบางอย่างกระทบเข้าที่ศีรษะ ดวงหน้าน่ารักสอดส่ายหาความเป็นไปได้ของอะไรสักอย่างที่พุ่งเข้ามากระทบหัว แต่แล้วก็ไม่พบอะไรหรือว่าใครที่ดูมีพิรุธพอที่จะปาอะไรสักอย่างใส่หัวเขา

     
     

    คงมีแค่เจ้าก้อนกระดาษสีชมพูที่นอนแอ้งแม้งอยู่ไม่ไกลเท้าที่พอจะไขปริศนาความข้องใจสงสัยที่เกิดขึ้นได้ แต่พอคิดไปคิดมาหลังจากย่อตัวเก็บสิ่งนั้น ลู่หานก็เป่าปากออกมาทันทีเพราะคิดว่าความคิดที่เกิดขึ้นช่างไร้สาระ กะอีแค่เศษกระดาษมันจะเป็นเบาะแสอะไร

     
     

    ร่างบางลุกขึ้นยืน ดวงตาเหลือบไปเห็นถังขยะที่อยู่ตรงประตูทางเข้าอาคาร สมองจึงสั่งการให้สองเท้าก้าวเดินตรงไปหาทันที พอถึง แต่ยังไม่ทันได้หย่อนกระดาษสีชมพูแปร๋แปร้นลงไปในนั้น เขาก็โดนทำแบบเดิมอีก และคงชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อพบว่าสิ่งที่เห็นอยู่ไม่ห่างตัวบนพื้นนั้นเหมือนกับที่เขากำลังถือเอาไว้ในมือไม่มีผิด

     
     

    ใครกันวะเล่นบ้าๆแบบนี้!

     
     

    ความสงสัยในคราวแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นความงุ่นง่านรำคาญใจทันที แต่หลังจากที่พยายามสอดส่ายสายตาไปทั่วแล้วก็ไม่พบใคร ลู่หานก็ตัดสินใจก้มลงเก็บกระดาษอีกแผ่นก็เพื่อที่จะโยนมันลงถังขยะแทนที่จะปล่อยให้มันกลายเป็นมลภาวะ

     
     

    “เฮ้ย เดี๋ยวดิ!” มือเกือบจะกลางออกแล้วกระดาษสีแปร๋นเกือบจะหล่นลงไปในถังขยะอยู่แล้วเชียว ทว่ากลับต้องมาชะงักเพราะเสียงคุ้นๆนี้เสียก่อน

     
     

    “อ้าว” ลู่หานมองคนที่กำลังหอบหายใจอยู่ตรงหน้า ตาที่โตขึ้นบอกว่ากำลังแปลกใจไม่น้อยเลยที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ต่อหน้าเขา

     

    “นายมาได้ยังไง?” ลู่หานไม่แน่ใจว่าไควิ่งมาจากทางไหน แต่คิดว่าคงต้องเร่งฝีเท้าด้วยความเร็วสูงแน่ๆถึงได้ยังไม่หายจากอาการหอบแบบนี้

     
     

    “อย่ามาพูดแบบนี้นะ ฉันต้องเป็นถามนายมากกว่าว่าจะกลับบ้านทั้งทีทำไมถึงไม่บอกกันสักคำ” ไคทำท่าเหมือนจะโกรธหน้าดำหน้าแดง(หรืออันที่จริงหน้าดำอยู่แล้วก็ไม่รู้)


    “อ้าว ก็นั่นมันบ้านฉันแล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย”

     
     

    “อ้าวเฮ้ย ไมพูดแบบนี้วะ”

     
     

    “เอ้า!” ลู่หานถึงกับพูดไม่ออก แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็คงจะด่าไคกลับไปด้วยประโยคเดียวกับที่หมอนั่นพูดนั่นแหละ

     
     

    ก็จะกลับจีน ...แล้วมันธุระกง...ก...การ....

     
     

    นึกได้ถึงตรงนี้ก็ต้องอ้าปากค้าง...ใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตารีบจดจ้องลึกไปที่ไค

     
     

    นานเท่าไรแล้วนะ... หากเทียบเป็นระยะเวลาคงบอกได้เลย กระนั้นแม้จะใช้ตัวเลขตัดสินได้ว่านานหรือไม่นานที่พวกเขารู้จักกัน แต่มันก็แทบจะไร้ความหมาย เมื่อต้องเทียบกับการที่ลู่หานรู้ว่าตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาอยู่เกาหลีเขามีใครที่อยู่เป็นเพื่อน

     
     

    เพื่อน...

     
     

    ตลอดเวลาไคเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงคำนั้นจริงๆ ซึ่งก็จริงแหละ หากเป็นเพื่อน ...เป็นเพื่อนกันจริงๆดังนั้นแล้วจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่บอก

     
     

    “ก...ก็จะกลับจีน วันนี้ เดี๋ยวนี้แหละ” ดูเอาแล้วกัน เพราะความกลัวเสียฟอร์มของคนเรา ลู่หานเคยผิดที่ไหน เรื่องอะไรล่ะ เขาไม่ได้จะไม่บอกแต่แค่กำลังบอกออกไปตอนนี้ต่างหาก

     

     

    แต่ไคกลับเอาแต่นิ่ง แววตาที่แทบจะไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด ทำให้ลู่หานเกิดความรู้สึกเหมือนหัวใจมันกำลังดิ่งลงเหว ให้ความรู้สึกแป่วแปลกๆ แต่ก็ยังคงไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนไม่ผิด

     
     

    “แล้วอย่าบอกนะว่า ไอ้กระดาษสองชิ้นนี้ก็ฝีมือนายอะ” คราวนี้มีปฏิกิริยาตอบรับเป็นการพยักหน้าขึ้นลง

     

    “หน็อย ขนาดฉันจะไปแล้วก็ยังไม่เลิกก่อกวน”

     

    “อย่ามาว่าแต่ฉันหน่อยเลย นายเองก็จอมกวนเหมือนกันนั่นแหละ” แม้ประโยคที่ไคว่าจะให้ความหมายค่อนไปในทางที่ไม่ดีนัก แต่มันก็ทำให้มุมปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นมาได้ เพราะไคเริ่มโต้ตอบกลับด้วยประโยคที่ยาวขึ้นแล้ว

     

    “ก็ได้ๆ นายกับฉันก็พอๆกันน่ะแหละ” พูดได้เท่านั้นก็ค้อนขวับ แต่แล้วคนอย่างไคเคยหงอที่ไหน มือหนาของอีกฝ่ายยื่นออกมาผลักเข้าที่ไหล่ของลู่หานซะ และลู่หานก็โวยกลับไปลั่น

     

    “โอ๊ย ไอ้บ้านี่!” เมื่อไม่อยากต่อสู้แล้ว จึงเลือกจะเดินหนี โดยไม่ลืมที่จะทิ้งกระดาษที่มันทำให้เขาหงุดหงิดก่อนหน้านั้นทิ้งลงถังขยะ

     

    ไคอยากจะห้ามเอาไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งถอนหายใจออกมา ส่ายหัวเล็กๆพลางยิ้มมองกระดาษที่ถูกขย้ำเป็นก้อนกลมนอนอยู่ในนั้น แล้วก็คิดว่าช่างมันเถอะ ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไป

     

     ลู่หานนั่งลงในเก้าอี้ตัวหนึ่งก่อนที่ไคจะนั่งตามลงไปในเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกัน ในความเงียบระหว่างกันไม่ได้มีความอึดอัดเลย ลู่หานออกจะดีใจเสียอีก ที่แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกกับอีกฝ่ายโดยตรง แต่ก็ยังเห็นว่าไคมานั่งอยู่เคียงข้างเขาเวลานี้

     

    คงบอกไม่ได้หมดว่ารู้สึกยังไง ...แต่โดยรวมแล้วก็คงต้องบอกว่ารู้สึกดี ที่มีใครสักคนที่แม้จะไม่ได้พูดว่ากำลังให้ความสำคัญกับเขามากแค่ไหนแค่ไหน ทว่าการกระทำที่เด่นชัดก็แทบจะพูดแทนได้ทั้งหมด

     

    กับคริส ...อะไรต่างๆเหล่านั้น ลู่หานแทบจะไม่เคยได้สัมผัส เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่ามันเป็นสิ่งเขาคาดหวังอยากให้เป็นมากกว่าที่จะเกิดขึ้นจริง

     

                   

    “แล้ว....สรุปว่านายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปวันนี้” ประโยคพูดของลู่หานเรียกให้ไคหันไปหา ดวงตาคมจ้องดวงตาคู่ตรงหน้าอยู่ชั่วครู่หนึ่งราวกับจะบอกว่าคำตอบมันมีอยู่ในดวงตาคู่นี้แล้ว แต่แทนที่จะพูดออกไปด้วย เขาดันตอบแบบย้อนถาม

     

               

    “แล้วมันสำคัญยังไง?”

     

               

    “โว๊ะ!” ก็ได้... ลู่หานสาบานกับตัวเองในวินาทีนั้นเลยว่าจะไม่พูดด้วยอีกแล้ว คนตัวเล็กหันหน้าหนีแล้วมองตรงไปข้างหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก

                   

             

    ไคมองการกระทำนั้นยิ้มๆ ตอนแรกเขาก็ตามลู่หานมาถึงที่นี่ด้วยอารมณ์โกรธด้วยซ้ำ ก็อีกฝ่ายเล่นไม่ยอมบอกกับเขาสักคำทั้งที่มีกำหนดการณ์ชัดเจนแล้วว่าจะกลับจีนวันไหน และถึงแม้ว่าจะแสดงถึงอาการน้อยใจออกไปบ้างแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าลู่หานจะไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจง้องอนเขาเลย

     

               

    ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก ไคแค่ไม่อยากให้ช่วงเวลาที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายมันสูญหายไป แล้วหลงเหลือเอาไว้เป็นเพียงแค่ความทรงจำ เขายังอยากที่จะคุยกับลู่หานอยู่ ยังมีความรู้สึกว่าอยากโต้เถียงกัน ทะเลาะกัน แม้สิ่งที่ว่ามาแล้วนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดูดีนัก แต่เพียงแค่คิดถึงแล้วทำให้ยิ้มออกมาได้ มันก็คงจะไม่ใช่อะไรที่แย่อะไรนักหนานี่

     

     

               

    “เพราะหลังจากนี้ต่างหากที่สำคัญ” ลู่หานค่อยๆหันใบหน้ากลับไปที่ไค เมื่อสบตากัน ไคจึงถือโอกาสพูดต่อ

     

               

    “ฉันไม่มีปัญญาโทรหานายหรอกนะ นายก็รู้ว่าโทรต่างประเทศน่ะแพงหูฉี่ขนาดไหน” แทบไม่ทันได้ตั้งตัว ลู่หานก็ถูกกระดาษและปากกายัดเข้ามาในมือ

     

     

    “จดไอดีไลน์ แทงโก้ ไกป์ หรืออะไรก็ได้ หรือจะทั้งหมดที่นายมีมาเลยก็ได้” ลู่หานกำลังอ้าปากค้างเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว วาบเดียวที่สบตาเข้ากับคนตรงหน้า ดวงใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาแปลกๆ ร่างบางกะพริบตาปริบ ต้องรีบกลบเกลื่อนด้วยการย่นหน้าใส่อีกฝ่ายไปทันที

     

     

    ขอดีๆไม่เป็นหรือไง ...ถึงได้เอาแต่ขู่บังคับอยู่แบบนี้...

     

     

    แต่แม้จะค่อนขอดได้แบบนั้น ลู่หานกลับก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยยิ้มในขณะที่มือก็เขียนทุกอย่างที่อีกฝ่ายขอโดยไม่มีอิดออดสักนิด

     

     

    “อะ” เขียนเสร็จก็ยื่นให้ เม้มริมฝีปากในขณะที่ลอบมองอีกฝ่ายที่เอาแต่สำรวจลายมือของเขา

     

     

    ลู่หานเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างได้ในใจ เขากำลังชั่งใจว่าควรจะพูดทีเล่นทีจริงออกไปดีหรือไม่พูดออกไปดี เพราะในขณะที่คิด หัวใจเขาดันรู้สึกได้ถึงสิ่งที่จะพูดออกไปจริงๆแล้วด้วย

     

     

    “ขออะไรเยอะแยะ ทำเหมือนคนกำลังจะจีบกันไปได้” แล้วรู้มั้ยว่าลู่หานได้คำตอบตอบกลับมาว่ายังไง

     

     

    เป็นคำตอบที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถทำมันได้จริงมั้ย

     

    “นายก็อย่ามาหลงชอบฉันแล้วกัน”

     

     

     


     

     

     

     

     

    หลังจากนั้นลู่หานก็ดูเงียบไปกว่าปกติ กลายเป็นถามคำตอบคำ ไม่เหมือนเดิมที่มักจะเถียงกัน มันเป็นแบบนี้จนกระทั่งได้เวลาที่ลู่หานจะเข้าไปรอขึ้นเครื่องบินด้านใน

     

     

    ตอนที่พากันจนเดินไปถึงหน้าประตูทางเข้า ก็ได้แต่อิดออดมองหน้ากันอยู่สักพัก ต่างฝ่ายต่างก็คงว่าไม่รู้จะพูดอะไร มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนเดิมจนทำให้พวกเขาทั้งคู่เริ่มไม่แน่ใจว่าระหว่างกันจะสามารถโต้ตอบกันด้วยถ้อยคำที่เหมือนเดิม อย่างที่เคยผ่านมานั้นได้มั้ย...

     

     

     

    เหมือนจะแย่...แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น...

     

    บางที... มันอาจจะยากแค่ตอนที่เรียกได้ว่าเริ่มต้นนี้ก็ได้...

     

     

    คนตัวบางกว่าหมุนตัวกำลังจะเตรียมเดินเข้าไป แต่ก็มาถูกฉุดไว้ด้วยเสียงที่เขาหวังเอาไว้ลึกๆว่ามันจะต้องเกิดขึ้น

     

     

    “ไว้ไลน์ไปหา” น่าแปลกที่คำพูดแค่นั้น ...กลับพาลเอาหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจแล่นรัวเร็ว วูบเดียวกลับโหวงหวิวจนน่าใจหาย

     

     

    จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆน่ะเหรอ...

     

     

    “อื้อ” ลู่หานแค่พยักหน้าทั้งที่มันสมควรน่าจะมีคำพูดอะไรต่อออกมาหลังจากนั้น

     

     

     

    “เข้าไปได้แล้ว” ไคเพยิดใบหน้าให้ ในขณะที่ลู่หานกำลังจ้องใบหน้าของไคราวกับหาความหมายอะไรบางอย่าง

     

     

     

    ระหว่างพวกเขาสองคน ...ขออะไรที่มันจะทำให้มั่นใจมากกว่านี้ได้มั้ย...ลู่หานจะได้รู้ว่าตัวเองควรจะลืมคริสไปในวินาทีนีเลยหรือไม่

     

     

     

    ร่างเพรียวสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนออก ก่อนจะรวบรวมลมหายใจเหล่านั้นเข้าไปใหม่อีกครั้ง

     

     

     

    คนมั่นใจในตัวเองเอ่ยถามอย่างไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว

     

    “นายคิดกับฉันยังไงกันแน่”

     

     

     

    ไคเบิกตาโตขึ้นทันทีหลังจากได้ยินประโยคนั้น เขาไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็นคำถามที่ออกมาจากลู่หาน ชายหนุ่มหันหน้าไปอีกทาง หัวเราะเหอะอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ลู่หานหน้าถอดสีจนนึกอยากจะถอนคำพูดที่ได้เอ่ยออกไปแล้วก่อนหน้านั้น

     

     

     

    “คำตอบมันอยู่ในกระดาษสีชมพูสองแผ่นนั้นที่นายเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะนั่นไงล่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     






     

     

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลวิ่งไล่ตามพยอนแบคฮยอนมาจนเกือบจะอาทิตย์ แบคฮยอนอยากจะบ้าตาย ชานยอลฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไง เขาพูดออกไปตั้งเป็นร้อยกว่าครั้งว่ายังไงก็ไม่ทางช่วย!

     

     

     

    ปัญหาของใครก็แก้กันไปเองดิวะ!

     

     

    แบคฮยอนเพิ่งมาตระหนักว่าไม่ควงเข้าไปยุ่งกับเรื่องของใครเลย ก็ตอนที่พบว่าตัวเองได้ทำพลาดไปแล้ว และมันก็มีผลรุนแรงกับเพื่อนคนที่เขารักมากที่สุดอย่างจุนมยอน

     

     

    ทุกวันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไร ความสดใสและรอยยิ้มที่เห็นๆกันอยู่นั้นล้วนเต็มไปด้วยความพยายาม ลึกลงในใจ คนใกล้ชิดอย่างพยอนแบคฮยอนทำไมจะดูไม่ออก ทำไมจะไม่รู้ แม้จะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องที่ว่านั้น แต่ก็รู้หรอกว่าการทำใจเพื่อลืมใครสักคนไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้รวดเร็วปานจรวดปานนั้น

     

     

    แล้วก็คงได้แต่ปล่อยให้เวลาเยียวยารักษากันต่อไปจนกว่าจะหายดีนั่นแหละ

     

     

    ในฐานะเพื่อน ดีที่สุดสำหรับตอนนี้คงไม่พ้นมองดูอยู่ห่างๆ ห่างในที่นี้ก็ขอให้อยู่ในระยะสายตาเอาไว้ละกัน หากมีอะไรที่ส่อวี่แววว่าไม่ค่อยจะดีนัก เขาจะได้วิ่งเข้าไปดูอย่างทันท่วงที

     

     

     

    วันนี้แบคฮยอนออกจากบ้านช้าหน่อย วิชาประวัติศาสตร์น่าง่วงนั้นอาจารย์งดสอน คนตัวเล็กมาถึงมหาลัยตอนเก้าโมงครึ่ง แบคฮยอนเลือกที่จะมานั่งกินข้าวที่ห้องอาหารแทนที่จะไปที่ศูนย์คอมพิวเตอร์อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเพราะมันเสี่ยงต่อการเจอชานยอล

     

     

    ปาร์คชานยอลที่รู้ได้ไงก็ไม่รู้ว่าเขามักจะไปที่นั่น ทำให้ระยะหลังมานี้หมอนั่นก็คอยแต่จะไปดักเจอเขา ก็เพื่อรบเร้าให้ร่วมมือช่วยให้คริสและจุนมยอนเข้าใจกัน

     

     

     

    ตื๊ออยู่นั่น ...ปาร์คชานยอลไม่เข้าใจหรือไงว่าพยอนแบคฮยอนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกแล้ว เพราะแบคฮยอนทั้งรู้สึกผิดและก็โกรธคริสไปด้วยในเวลาเดียวกัน แค่หน้าอีกฝ่ายที่เห็นในขณะที่เดินสวนกันโดยบังเอิญ แบคฮยอนยังไม่อยากจะมองเลย แล้วนับประสาอะไร จะมีใครรับประกันได้บ้างล่ะว่าเขาจะไม่พาเพื่อนตัวเองไปเจ็บตัวหนสองน่ะ!

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลนี่ท่าจะบ้านะ เขาไม่ได้พูดชัดเจนออกไปแล้วเหรอว่าจะไม่ให้จุนมยอนต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคริสอีก หมอนั่นต้องบ้าไปแล้วจริงๆ เห็นแบคฮยอนคนนี้เป็นคนไม่รักษาคำพูดไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

     

     

    ฮุ้ย ! นึกถึงตรงนี้ก็พาลเอาโมโห เล่นตักข้าวเข้าปากไปคำใหญ่ก่อนจะเคี้ยวตุ้ยๆ ใบหน้าหมาหงอยเพิ่งจะเงยมองรอบด้าน แล้วก็พบว่าเวลานี้คนยังไม่ค่อยจะเยอะนัก คงแน่ล่ะ...นี่มันไม่ใช่เวลากินข้าวของคนปกติเสียหน่อย

     

     

     

    แต่ในจำนวนคนไม่มากนั้น ดันบังเอิญมีปาร์คชานยอลที่ปะปนอยู่ด้วย แบคฮยอนล่ะอยากเอาหัวโหม่งพื้นเสียจริงเชียว เพราะตั้งแต่มีเรื่องละครเวทีเข้ามาในชีวิต เขาก็ต้องรู้สึกวุ่นวายใจด้วยใบหน้าของชานยอลแทบตลอดเวลา นี่ยังไม่นับที่ฝ่ายนั้นคอยตามมาราวีขอร้องกันให้ช่วยเรื่องที่ว่านั้นอีก

     

     

    โอ้ยยยยยย

     

     

    แค่เห็นชานยอลอยู่ไม่ว่าจะย้ายสายตาไปไหนก็ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว แล้วนี่จะอะไรกันอีกล่ะ ตามฉันหาพระแสงอะไรนัก!

     

     

    แบคฮยอนมั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เพราะจากการที่เขาเห็นว่าปาร์คชานยอลสอดส่ายสายตาไปทั่ว จนกระทั่งได้สบตากัน แล้วหมอนั่นก็รีบตรงดิ่วมาทางนี้ทันทีขนาดนั้น ไม่มีทางเรียกว่าบังเอิญได้หรอก

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    ว่าแล้วมั้ยล่ะ...

     

     

    คนตัวเล็กยังไม่ตอบอะไรออกไปทันที แบคฮยอนก้มหน้ากัดฟันพลางครุ่นคิด ทำไมมันถึงได้ขี้ตื๊องี้วะ ไม่ใช่อะไรนะ แบคฮยอนก็แค่กลัวว่าจะใจอ่อน ตกปากรับคำไปเพราะตอนนี้จุนมยอนก็ยังดูมีอาการที่ไม่ดีขึ้นเลย ซึ่งนั่นมันก็เป็นเพราะคริสไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับจุนมยอนแล้วไง...

     

     

    และเขาเองก็ยังแอบคิดอยู่ลึกๆด้วยว่าการทำให้คริสกลับมาอยู่ใกล้ๆกับจุนมยอน มันก็อาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้เพื่อนเขากลับมาสดใสเหมือนเดิม

     

     

    โอ้ยยยยยยย

     

     

    แต่ไม่...

     

    ไม่...

     

     

     

    ไม่ว่าจะยังไงแบคฮยอนก็จะปฏิเสธลูกเดียว

     

     

    “คำตอบรอบที่ร้อย ก็ยังเหมือนเดิมคือไม่นะ” แบคฮยอนเชิดหน้าบอกอีกฝ่ายอย่างมั่นใจในคำตอบของตัวเอง

     

     

    “แต่คริสเองก็ชอบจุนมยอนนะ นายไม่คิดว่ามันจะเป็นการดีเหรอ หากเราร่วมมือกันทำให้คนที่มีความรู้สึกตรงกันเข้าใจกันน่ะ แล้วฉันก็คิดว่า....”

     

     

    “หยุดๆ” มือบางยื่นไปตรงหน้าคนที่เพิ่งจะนั่งลงมาบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม เชิงห้ามปราม “นี่ก็รอบที่ร้อยสามสิบสองแล้วที่นายพูดประโยคนี้ เพราะฉะนั้นนายก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีผลต่อจิตใจฉัน”

     

     

    พอกำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง แบคฮยอนก็ชิงพูดต่อออกมาเสียก่อน “ฉันไม่เข้าใจว่านายจะยุ่งอะไรกับเรื่องนี้นักหนา เรื่องของตัวก็ไม่ใช่ ยิ่งถ้าบอกว่าหมอนั่นขอร้องให้ช่วยแล้วนะ ฉันจะเอาศอกฟันคอให้ซะ ทำไมทีเวลาทำล่ะไม่คิด” ความจริงเวลานี้จิตใจแบคฮยอนเอนเอียงไปทางอยากประสานให้สองคนนั่นกลับมาน่ารักกันเหมือนเดิม แต่ด้วยความที่ยังไม่ค่อยมั่นใจ กลัวว่าจะโดนหลอกซ้ำสอง คริสชอบเพื่อนเขาแล้วจริงๆยังเป็นเรื่องที่แบคฮยอนยังคงคลางแคลงใจอยู่

     

     

    “จะเป็นยังไงต่อไปก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเขาสองคนเถอะน่ะ”

     

     

    “ก็ถ้าจุนมยอนยอมเจอหน้าคริสอยู่บ้าง ฉันก็คงไม่มาขอให้นายช่วยหรอก ไปๆมาๆคนที่แลดูจะอ่อนไหวมากที่สุดอย่างจุนมยอนกลับกลายมาเป็นคนที่ใจแข็งที่สุดซะงั้น” ร่างสูงลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนใจ “ฉันก็แค่อยากให้คริสกลับมาเป็นคนเดิมซะที”

     

    ได้ฟังประโยคหลังแบคฮยอนถึงกับย่นคิ้ว

     

     

    “หมอนั่นเป็นเอามากเลยเหรอ?” ไม่ได้นึกสงสารหรือเห็นใจ เขาแค่กำลังสงสัยและไม่อยากเชื่อจริงจังว่าคนอย่างคริสที่สาวๆเฝ้าชื่นชมหลงใหลนั้นจะเป็นได้ถึงขนาดเท่าที่ชานยอลกำลังจะบอก

     

     

    และแทนที่จะตอบกลับเป็นคำพูด ทว่าปาร์คชานยอลกลับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแทน

     

     

    ดวงหน้าหล่อเหลาจดจ้องลงไปบนหน้าจอโทรศัพท์ นิ้วมือสองข้างก็ประสานกันจิ้มลงบนหน้าจอ เสี้ยวอึดใจก็วางมันลงบนโต๊ะ

     

     

    “ลองฟังดูสิ”

     

    ด้วยความที่เวลาอย่างนี้กลางห้องอาหารไม่ค่อยมีคนจอกแจกจอแจนัก แบคฮยอนที่โน้มใบหน้าเข้าไปหาโทรศัพท์จึงได้ยินทุกอย่างชัดเจน

     

     

    มันค่อนข้างแสดงถึงความวุ่นวายมากหน่อยในช่วงแรก แบคฮยอนที่ไม่เห็นภาพ ได้ยินแต่เสียงคงแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร ระหว่างนั้นก็มีเสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ก่อนจะเหลือบดวงตาขึ้นมองเมื่อพบว่าเสียงที่เขากำลังได้ยินอยู่นั้นเป็นเสียงของคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า

     

     

     

     “คริสพอได้แล้วเหอะ ...เมาไม่ไหวแล้วนะ”

     

     

     

     

    “ปาร์คชานยอลนายไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าการสูญเสียใครสักคนที่เรารู้สึกดีด้วยไปมันเป็นยังไง วันๆฉันเอาแต่คิดถึงใบหน้านั้น รอยยิ้มนั้น ดวงตาคู่นั้น ริมฝีปากคู่นั้นจนไม่เป็นอันทำอะไร คิดถึง....แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนี่แม่งโคตรทรมานอะ ฉันอะ....ฉันคนนี้นี่อะ ...คิดถึงคิมจุนมยอนจะแย่อยู่แล้ว นายได้ยินมั้ย... ฉันคิดถึงจุนมยอนจนแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วปาร์คชานยอลเหรอ ...คนอย่างนายจะไปเข้าใจอะไรวะ”

     

     

              “เออ ไม่เข้าใจหรอก แต่เมาเป็นหมาอย่างนี้จุนมยอนเขาไม่ชอบหรอก เชื่อฉันดิ่”

     

     

     

              “จะหมูจะหมาก็ช่าง ไหนๆเขาก็ไม่สนใจฉันแล้วนี่”

     

     

     

              “ทำให้ฉันเป็นไปได้ขนาดนี้ หมอนั่นยังมีสิทธิ์อะไรที่จะไม่ชอบฉันอีก”

               

     

     

    ชานยอลไม่ได้ให้แบคฮยอนฟังอะไรไปมากกว่านี้ เพราะคำพูดที่เขาอัดได้ที่คริสพูด มันก็วนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น

     

     

    “ฉันอัดไว้ตอนที่คริสชวนไปกินเหล้าครั้งที่สอง ตอนแรกก็ตั้งใจเอาไว้หลังจากพากันไปดื่มครั้งแรกแล้วพบว่าหมอนั่นเป็นแบบนี้ ว่าจะอัดเอาไว้ให้เจ้าของเสียงมันฟังเพื่อเตือนสติ แต่ถึงจะเอาให้ฟังก็แล้ว ก็ยังเหมือนเดิม หนำซ้ำยังหนักข้อขึ้นทุกวัน หากไม่ดื่ม วันๆนึงคริสก็แทบจะไม่พูดอะไรออกมาเลย... ซึ่งกับคนที่อยู่ด้วยกับหมอนั่นแล้วก็จะพบว่ามันแย่มาก”          

     

     

    “....”

     

     

    “ซึ่งฉันเดาว่าจุนมยอนเองก็อาจจะไม่ต่างอะไรกัน...” ใช่แบคฮยอนทราบถึงความจริงข้อนั้นดีเลยล่ะ ....ที่ไม่เป็นอะไรก็เพราะจุนมยอนใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่เป็นอะไรต่างหากล่ะ

     

     

    “เขาว่ากันว่าคนเมาไม่โกหก ทีนี้นายจะมั่นใจได้หรือยังว่าคริสเองก็ชอบจุนมยอนอยู่มากเหมือนกัน”

     

     

    “นายเอง ก็คงอยากได้จุนมยอนที่น่ารักของนายกลับคืนมาใช่มั้ย ...” แบคฮยอนนิ่งงันไปเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ดวงตาคู่เรียวเล็กค่อยๆช้อนขึ้นมองชานยอล นัยน์ดวงตาคู่นั้นแทบจะไม่มีวี่แววความมั่นใจอย่างที่คนอย่างแบคฮยอนมักจะเป็นอยู่เลย มันลังเลอย่างคนไม่กล้าตัดสินใจ ทว่ากลับได้แววตาของชานยอลที่เหมือนกำลังจะเพิ่มพูนความมั่นใจมาให้ จนคนตัวเล็กยอมเปิดปากพูดออกไปในที่สุด

     

     

    “ก็ได้... จะลองดูอีกสักครั้งก็ได้”

     

     

     

    และคราวนี้....ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้คริสและจุนมยอนต้องผิดใจกันอีกเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

     

     

     

    เบรคดราม่าคริสโฮไว้ด้วยไคลู่และก็ชานแบคหน่อยยยย

     

     

    ก็มันใกล้แล้วล่ะ อีกสองตอนเท่านั้นนะคะ

    อีกสองตอนก็จะคอมพลีสแล้ววว เยยยยยยยยย้

    คือดองมาก เฟิสคริสนี่เดินทางกันมาปีกว่าทีเดียว 5555555

     

     

    ก็คงจะรวมเล่มแน่ค่า~ หลังจากลงตอนสุดท้ายเสร็จก็จะเอารายละเอียดมาฝาก ไว้เพื่อพิจารณาตัดสินใจกันนะคะ~~

     

    ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด~~ *ซึ้ง*

     

    พูดถึงฟิค ติดแท็ก #ฟิคเฟิสคริส ด้วยเน้อ จุ๊บๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×