คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : นางร้าย 8
The villain
นาง (นาย) ร้าย ที่รัก
ตอนที่ 8
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ผมไม่ได้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’ มันนานมากจนผมเองก็เกือบลืมไปเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจำด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่พยายามหลอกตัวเองให้ลืมมาตลอดแต่ส่วนลึกในจิตใจกลับไม่เคยลืมเลือน ผมแอบร้องไห้คนเดียวไม่รู้กี่ครั้ง คอยแอบมองพวกเขามีความสุขห่างๆ อย่างนึกอิจฉา ถ้าเด็กคนนั้นที่พ่อกอดด้วยความรักเป็นผมมันก็คงดี
‘คุณพ่อ ดูนี่สิฮะ’
‘เรย์! ไม่เห็นหรือไงว่าพ่อกำลังทำงานอยู่!’
‘ตะ แต่.....’
‘ออกไปซะ อย่ามากวนตอนพ่อกำลังทำงาน’
‘ฮะ’
ครั้งนึงผมเคยจะเอารูปที่อาจารย์สั่งให้วาดรูปครอบครัวไปให้พ่อดู รูปที่มีผมกับพ่อเพียงสองคน แต่สิ่งที่ได้มีแต่ความเฉยชา ผมกำกระดาษในมือไว้แน่นพร้อมกับหยดน้ำตา ขอแค่เวลาเพียงนิดเดียวพ่อกลับสละมันให้ผมไม่ได้ ผมอยากเห็นรอยยิ้มของพ่อ อยากให้พ่อชมว่าวาดรูปสวยมากแล้วก็กอดผมด้วยความรัก แต่มันคงเป็นได้แค่ฝัน ฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง
คุณพ่อ.....
ผมลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า รับรู้ถึงน้ำสีใสที่ไหลลงจากหางตาโดยไร้เสียงสะอื้นในลำคอเบาๆ นี่ผมฝันอีกแล้วเหรอ? ความฝันที่ไม่ค่อยอยากจะนึกถึงเท่าไหร่เลย เลยทำให้พาลไปอยากไปโรงเรียนซะงั้นแต่คงทำไม่ได้เพราะผมเองก็ขาดเรียนหลายวันอยู่เหมือนกัน
เฮ้อ ต้องไปโรงเรียนแล้วสินะ.....
ผมอยากเรียนให้จบเร็วๆ จะได้ไปจากที่นี่เสียที ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียนความรู้สึกของผมมันก็เหมือนเดิม ทุกคนรอบข้างมองว่าผมร้าย ผมรังแกหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยถามความรู้สึกของผมเลยว่าที่แท้จริงแล้วมันเป็นยังไง
“อัลฟา ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“อืม รีบๆ มาละ ใกล้เข้าเรียนช่วงบ่ายแล้ว”
“ได้ๆ”
ผมที่เพิ่งทานข้าวเสร็จก็พูดขึ้นรู้สึกอยากปลดเบาขึ้นมาซะงั้น ในทุกๆ วันของผมมันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะหมดคาบเรียนก็เหมือนแทบขาดใจ สิ่งที่ค้ำจุนผมอยู่ได้คือความหวังและความฝันที่จะได้เป็นอิสระเร็วๆ อิสระที่จะพ้นจากคนๆ นั้น ที่จะพ้นจากความทรมาน ในเมื่อเค้าไม่ต้องการผม ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ทำไมเหมือนกัน ถ้าหากว่าผมหายไปสักคนเขาอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องทนเห็นหน้าลูกที่ไม่ได้รัก
หนูนาเองตอนนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แม้ว่าหนูนาจะยังช็อกไม่หายจนมีผลข้างเคียงทำให้เซื่องซึมลงไปบ้างและตกใจอยู่บ่อยๆ เพราะยังเด็กก็เลยปรับสภาพจิตใจได้ยากแต่คุณหมอก็ยืนยันว่าอีกไม่นานก็หาย ทำให้ผมกับครูน้อยหายห่วงไปเยอะ
ตุบ
“อ่ะ! ขอโทษครับ”
ผมที่กำลังจะออกจากห้องน้ำก็ชนคนๆ นึงเข้าอย่างจังแต่ดีที่ชนไม่แรงทำให้ไม่ล้ม พอเงยหน้ามองเท่านั้นแหละทำให้ผมตกใจเล็กๆ จนเผลอที่จะเดินถอยหลังหนีอย่างไม่รู้ตัว
“ชนแล้วขอโทษคิดว่ามันจะหายเจ็บเหรอ”น้ำเสียงที่ถูกเปล่งออกมาดูอารมณ์เสียนิดๆ แววตาแข็งกร้าวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างน่าขยะแขยง ให้ตายเถอะ! ชนใครไม่ชนดันชนกับคนพวกนี้ซะได้!!!
เอเดน.....ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวโจกของโรงเรียน ถึงจะอยู่ ม.6 เหมือนกันแต่เขาก็เป็นเหมือนอันธพาลที่ระรานชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว ถึงเราจะอยู่กันคนละห้องแล้วผมก็ไม่เคยได้พบเขามาก่อนแต่เพราะข่าวลือของเอเดนมันดังมากพอดู และที่ยังอยู่ได้เพราะอำนาจบารมีของเงินล้วนๆ
“จะไปไหน!”
“โอ๊ย!”ผมที่จะเดินหนีแต่กลับถูกแขนแกร่งกระชากไว้แน่น แรงที่มีมากกว่าของเอเดนมันทำให้ผมเซจนเกือบชนกับอกแกร่ง
“ปล่อย!”ผมพยายามรั้งแขนตัวเองออกแต่ก็ไม่เป็นผลสักนิด คนอะไรแรงเยอะชะมัด!
“ชนแล้วคิดหนีเหรอ”
“จะเอาอะไรอีก ฉันก็ขอโทษไปแล้วนี่”
“คำขอโทษ ฉันไม่ต้องการ!”
เอเดนพูดเชิงเป็นนัย รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ดูสมส่วน เพื่อนๆ ของเอเดนอีกสองคนข้างหลังก็ทำท่าเหมือนกับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนในสิ่งที่เพื่อนกำลังทำ ผมรู้สึกถึงรางร้าง
“เฮ้ย พวกมึง เฝ้าต้นทางให้กูหน่อย”
“จะทำอะไร?”
“ก็.....ทำให้มีความสุขไง”
“ไม่นะ!!! ปล่อย!!!”
สิ้นคำเอเดนก็ลากผมเข้าไปในห้องน้ำที่ผมเพิ่งออกมาอย่างเร็ว โดยที่มีเพื่อนๆ ของเขาคอยมองส่ง ผมทั้งร้องทั้งดิ้นแต่กลับสู้แรงของเขาไม่ได้สักนิด ได้แต่มองดูประตูห้องน้ำที่ถูกปิดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเยาะที่ไม่ประสงค์ดี
ตุบ!
“อั๊ก!”
ร่างกายของผมถูกเหวี่ยงจนไปชนเค้าท์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างแรง ผมกุมที่ท้องตัวเองก่อนที่จะค่อยๆ ไถลลงนั่งกับพื้นเพราะความเจ็บ พยายามกระเถิบตัวหนีแต่ก็ไปไหนได้ไม่ไกลนักเมื่อเอเดนจับข้อเท้าด้านขวาของผมแล้วกระชากอย่างแรงจนเข้าไปใกล้ตัว
“ปล่อยนะ!!! ช่วยด้วย!!!”
“ร้องเข้าไปเถอะ ไม่มีใครช่วยมึงได้หรอก”
“ไม่!!!”
ผมทั้งดิ้นทั้งถีบหวังเพื่อจะเอาตัวหนีให้รอด การร้องขอความช่วยเหลือยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะตอนที่ผมเข้าห้องน้ำก็เป็นช่วงใกล้เข้าเรียนแถมห้องน้ำที่ผมเข้าก็อยู่ไกลพอสมควร อีกอย่างพวกของเอเดนอยู่ด้านนอกถึงจะมีคนได้ยินเสียงร้องก็เถอะแต่คงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แน่ๆ
ตุบ!
เอเดนที่เห็นผมดิ้นก็จัดการชกไปที่หน้าท้องจนทำให้ผมร้องไม่ออก จากที่เจ็บอยู่แล้วก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีก เอเดนก็ใช้จังหวะนี้ขึ้นคร่อมผมใช้สนองขาของเขาหนีบไม่ให้ผมได้ดิ้นหนีพร้อมกับจับแขนของผมรวบเข้าด้วยกันแล้วก็ใช้เข็มขัดที่ถูกดึงออกจากกางเกงมามัดแขนผมเอาไว้ ตัวของผมก็ถูกดันชิดกับพื้นเย็นๆ ของห้องน้ำ แล้วเอเดนก็ใช้ฝ่ามือหนาอุดปากไม่ได้ผมได้ร้องขอความช่วยเหลือได้อีก
“เรามามีความสุขกันดีกว่า”
“ฮึก ฮือ ฮือ ช่วยด้วย”
ใครก็ได้! ช่วยด้วย! ผมกลัว.....กลัวเอเดนจริงๆ ถึงจะทำเป็นเข้มแข็งแต่ด้วยแรงที่มีมันก็ต่างกันเกินไป ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม เป็นครั้งแรกที่ผมอยากนึกโทษตัวเองที่เกิดมาอ่อนแอ ทำไมผมไม่เกิดมาให้ตัวโตกว่านี้นะจะได้ปกป้องตัวเองได้ คนอย่างผมมันน่าสมเพช.....น่าสมเพชจริงๆ
ริมฝีปากหนาถูไถไปกับซอกคอขาวๆ ของผม สัมผัสที่ได้มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีสักนิดมีแต่รังเกียจและน่าขยะแขยง มือหนาอีกข้างที่ยังว่างเริ่มล้วงเข้าไปใต้เสื้อจับต้องหน้าอกเล็กๆ แล้วบีบอย่างมันมือ ผมได้แต่เปล่งเสียงอู้อี้ในลำคอจะหนีก็หนีไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครเข้ามาช่วยผม
ปัง ปัง ปัง
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เอเดนชะงักเล็กน้อย ดูเขาหัวเสียมากที่มีคนมาขัดอารมณ์ ในตอนแรกเขาเป็นไม่สนใจหันมากระทำชำเรากับผมต่อ แต่เสียงเคาะประตูก็ยังดังต่อเนื่องไม่หยุดพร้อมกับเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนอก เอเดนถึงยอมแต่ก็ยังไม่ปล่อยผมอยู่ดี
ปัง ปัง ปัง
“เอเดน!”
“มีอะไร”
“อาจารย์มา!”
ตอนนี้ดูท่าเขาจะหัวเสียกว่าเก่าที่ยังไม่ได้ทันทำอะไรผมก็มีคนมาขัดขวางซะก่อน แต่ผมเหมือนกับพระเจ้ามาโปรดมากกว่า นึกขอบคุณจริงๆ ที่อาจารย์มาได้ทันเวลา ผมถูกแก้มัดอย่างลวกๆ รอยเข็มขัดทำให้เห็นเป็นรอยแดงพอสมควร
“ถ้ามึงปากโป้งคงรู้นะว่าจะเจออะไร กูจะเอาคนมารุมโทรมึงจนตายคาเตียงแน่ๆ”
คำขู่ของเอเดนกระซิบบอกผมเบาๆ แม้จะไม่ได้เป็นการขู่กรรโชกแต่มันก็ทำให้ผมกลัวจนสั่นเป็นเจ้าเข้า ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของผมถูกมือหนาเช็ดให้แห้งอย่างลวกๆ เพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน ยิ่งแววตาของเขาที่มองมายังผมมันก็ยิ่งทำให้กลัวหนักขึ้นไปอีก
ปัง!
พอเอเดนเดินไปเปิดประตู ไม่นานนักก็มีอาจารย์ฝ่ายปกครองเดินเข้ามาด้วยสีหน้าดุๆ พร้อมกับอัลฟาที่เดินมาตามหลัง
“พวกเธอทำอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ พวกผมแค่มาเข้าห้องน้ำ ไม่เชื่ออาจารย์ก็ถามเขาดูสิครับ”เอเดนตอบเสียงนิ่งเรียบแต่สายตาปรายมองผมเล็กๆ จนทำเอาผมสะดุ้ง
“ว่ายังไง จริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า”
“คะ ครับ”
ผมก้มหน้าตอบพยายามกลั้นเสียงสั่นๆ เพื่อไม่ให้มีพิรุษ ถ้าจะมองว่าผมขี้ขลาดผมยอมรับเพราะว่าผมกลัวมากจริงๆ มือทั้งสองข้างผมกำกันแน่นอย่างชื้นเหงื่อโดยที่มีอัลฟาอยู่ข้างๆ
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเข้าเรียนได้แล้ว”
“ครับอาจารย์”
เอเดนพูดอย่างสบายๆ แต่ก็ยังมองผมก่อนที่จะกระซิบบางอย่างให้เห็นเพียงแค่สองคน คำพูดของเขาทำเอาผมขนลุกซู่จนต้องก้มหน้าหนี สำหรับผมเขาน่ากลัวเกินไปจริงๆ
หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ผมนึกขอบคุณอัลฟาที่มาตามผมไปเข้าเรียนแต่ก็พบกับพวกของเอเดนวนเวียนอยู่หน้าห้องน้ำและคิดว่าผมคงยังอยู่ในนั้นก็เลยไปตามอาจารย์มาแล้วมันก็เป็นอย่างที่อัลฟาคิดจึงทำให้ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เพราะคำขู่ของเอเดนมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะบอกใครๆ ว่าผมถูกทำร้าย ผมจึงได้แค่บอกกับอัลฟาว่าเอเดนแค่มาเข้าห้องน้ำเฉยๆ มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น ดูเหมือนว่าอัลฟาจะไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ผมไม่ได้อยากโกหกแต่ผมกลัว กลัวมากจริงๆ
“ฉันกลับก่อนนะเรย์”
“อืม”
อัลฟาพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปอีกทาง ผมเองก็เหมือนกันต้องกลับบ้านรู้สึกไม่ค่อยอยากจะทำอะไร มันหดหู่ไปหมดเหมือนกับว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ระหว่างทางผมก็มองซ้ายมองขวาอย่างนึกหวาดระแวงแม้ว่าจะมีคนอยู่มากแต่มันก็ทำให้ผมกลัวอยู่ดี
“เรย์!”
เฮือก!
ผมสะดุ้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ความรู้สึกที่โดนกระทำเมื่อตอนกลางวันมันยังฝังใจจนทำเอาร่างกายของผมสั่นไม่หยุด ยกมือขึ้นมาป้องตัวอัตโนมัติ ขาทั้งสองข้างก็ถอยหลังหนีแล้วค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้นเหมือนกับคนกำลังจนตรอก
“อย่านะ!!! ไม่ๆ ไม่เอา อย่าเข้ามา”
“เรย์!”
“ไม่ๆ อย่านะ ฮือ ฮือ”
ผมรู้สึกถึงแรงสัมผัสที่จับหัวไหล่ทั้งสองข้างพร้อมกับเรียกชื่อผมเพื่อเตือนสติไม่ให้กระเจิงไปมากกว่านี้ ผมร้องไห้พยายามผลักให้ลำแขนแกร่งออกจากตัวแต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ผลสักนิด พอยิ่งคิดถึงคำที่เอเดนบอกมันก็ทำให้ผมยิ่งดิ้นมากขึ้นไปอีก
ครั้งหน้าไม่รอดแน่!!!.....
“ฮือ ฮือ ไม่เอา ฮือ ฮึก”
“ไม่เป็นไรแล้วเรย์ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ฮือ ฮือ อย่าทำผมนะ”
ลำแขนแกร่งโอบกอดผมเหมือนกับเป็นการปลอบประโลม ฝ่ามือที่อบอุ่นของเขาลูบผมเบาๆ เพื่อให้ผมคลายอาการเกร็งที่เป็นอยู่ ผมที่หนีในคราวแรกเริ่มหยุดลงแล้วเปลี่ยนเป็นโอบกอดที่เอวหนาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมต้องการที่พักพิงเหลือเกิน ผมร้องไห้แล้วก็ร้องไห้อีกแบบไม่กลัวจะเป็นที่นินทา พอตั้งสติได้ก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของอีกคนแล้วมองอย่างเต็มๆ ตา พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละผมก็ผละตัวออกแบบไม่ต้องคิดพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร”ผมแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายๆ ไปซะเหลือเกิน ไม่น่าสติแตกต่อหน้าไคเลย เขาคงสมเพชผมน่าดู
“แล้วทำไม.....”
“หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ก็บอกว่าฉันไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร ไม่เข้าใจหรือยังไง!”
“เออ ไม่เป็นก็ไม่เป็น ฉันไม่น่า.....”ไคมองหน้าผมอย่างคนกำลังโมโห เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบเอาไว้ก่อนที่จะเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ผมก้มหน้ามองพื้นแล้วกอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่น ต้องรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานๆ มันโหวงๆ ในอกยามที่ต้องอยู่คนเดียว
ตุบ ตุบ ตุบ
แต่ยังที่ผมยังไม่ได้ก้าวไปไหนเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางด้านหน้าพร้อมกับอีกบุคคลก้าวเข้ามาแทนที่ตรงที่ไคเพิ่งเดินไป ผมไม่เข้าใจสองคนนี้จริงๆ ทำไมผมเจอพวกเขาแต่ละครั้งจะต้องเป็นคนละเที่ยว คนละรอบตลอด ทำไมไม่มาพร้อมๆ กันนะ
“จะทำอะไร ปล่อย! โอ๊ย!!!”
ตะวันจับข้อมือผมแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะแรงบาดของเข็มขัดที่ทำให้ผมเป็นแผลพอตะวันจับแม้มันจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้แสบไม่น้อย ตะวันปรายตามองที่ผมกับที่ข้อมือสลับกันก่อนที่จะพูดขึ้นเบาๆ
“เป็นอะไร”
“ปล่อย! ฉันเจ็บ!!!”
“ทำไมถึงเป็นแผล”
“อย่ามายุ่งกับฉัน! ปล่อย!!!”
“เจ็บมากไหม”
ตะวันไม่ฟังผมสักนิด เขายังจับมือผมอยู่แม้ว่าผมจะพูดอะไรออกไปเขาก็ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมามันทำให้ผมใจกระตุกแปลกๆ จนทำให้ผมอยากร้องไห้
“ปล่อยฉัน”
“กลับบ้านได้แล้ว”
“ฉัน.....ไม่ไปกับนาย”
“กลัวไม่ใช่เหรอ”
ผมเม้มปากแน่นก้มหน้าต่ำไม่สบตา เมื่อกี้ตอนที่ผมสติแตกตะวันเองก็คงจะเห็นสินะ ผมไม่เข้าใจว่าตะวันเขาจะมาทำแบบนี้กับผมทำไม? ถ้าหากไม่ห่วงกันตั้งแต่แรกก็อย่ามาทำดีตบหัวแล้วลูบหลังกันอย่างนี้
“ไปได้แล้ว”
แรงฉุดกระชากของตะวันทำให้ผมเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนกับเด็กที่เดินตามหลังผู้ใหญ่ ถึงตอนนี้ตะวันก็ยังไม่ปล่อยมือจากผม ผมที่กำลังก้มหน้าจึงไม่ทันเห็นว่าตะวันเหลือบมองมายังผมพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากก่อนที่จะหันกลับไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องที่เกิดขึ้นผมไม่ได้บอกใครแม้แต่กับเย็นหรือแม้กระทั่งกับพ่อแต่ถึงจะบอกไปเขาก็คงไม่สนใจอยู่ดี ที่ผมไม่บอกเย็นเพราะไม่อยากจะทำให้เป็นห่วง อีกอย่างนับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ถูกระรานอีกเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน? ช่วงอาทิตย์แรกผมก็มีหวาดกลัวอยู่บ้างแต่หลังๆ มานี้ก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ คงเพราะไม่เห็นพวกเอเดนอีกมั้ง แต่ก็ดีแล้วละขออย่าได้เห็นอีกเลยเป็นพอ
“อารมณ์ดีจังนะคะคุณเรย์”
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมนอนยิ้มแล้วยิ้มอีกจนหน้าบานแฉ่ง เย็นที่เห็นก็เลยอดที่จะเอ่ยทักไม่ได้ ก็แหม คนมันอารมณ์ดีนี่นา จะไม่ได้ยิ้มได้ยังไง
“ก็ผมใกล้จะสอบแล้ว อีกแค่เดือนเดียวเองผมก็จะจบแล้วนะ”ผมลุกขึ้นนั่งแล้วกอดหมอนแน่น สบตามองกับเย็นอย่างสื่อความหมายก่อนที่จะเริ่มพูดอีกครั้ง
“เอ่อ ถ้าหากถึงวันจบการศึกษา ผมอยากให้เย็นไปเป็นผู้ปกครองให้”
“คุณเรย์”ดวงตาของเย็นมองผมอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ส่อประกายแวววาบพยายามกลั้นอาการดีใจอย่างเต็มที่
“เย็นเป็นแค่คนใช้ คิดว่า.....”
“ไม่ใช่! สำหรับผม เย็นไม่ใช่คนใช้”
“.....”
“แต่เย็นเป็นมากกว่านั้น”
สำหรับผม.....เย็นเป็นมากกว่าพ่อกับแม่ เป็นมากกว่าคนในครอบครัว และเป็นคนสำคัญสำหรับผม
“นะ”
“แล้วคุณท่าน”
“ช่างเขาเถอะ เขาคงไม่ไปหรอก อ้อ ไม่สิ ถึงจะไปแต่เขาก็คงไปแสดงความยินดีกับลูกรักของเขามากกว่า”
ผมพูดอย่างน้อยใจ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ สำหรับผมยังไงซะก็ไม่มีความหมายกับเขาตั้งแต่แรก ถ้าจะตั้งความหวังว่าเขาจะไปวันจบการศึกษาเพื่อผมมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ถึงจะเสียใจก็เถอะแต่ความจริงมันก็เป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี
“ช่างเถอะ อย่าไปพูดเลยมีแต่เจ็บเปล่าๆ”
“คุณเรย์”เย็นเรียกชื่อผมเหมือนกับว่าเขากำลังรู้สึกเจ็บไปกับผมด้วย ถ้าผมอ่อนแอเย็นก็จะเป็นห่วง ผมไม่อยากให้เย็นเป็นห่วงจึงได้เปลี่ยนจากทำหน้าเศร้าเป็นยิ้มกว้างให้แล้วเร่งรัดคำตอบแบบมัดมือชก
“นะเย็น ผมอยากให้เย็นไป”
“คะ เย็นสัญญา”
เย็นยิ้มตอบผมพร้อมพยักหน้าเบาๆ ให้ จนทำเอาผมอดที่จะดีใจไม่ได้ ความสุขของผมคือการที่ได้มีเย็นอยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็มักจะลืมไปเสมอว่าความสุขของผมมักจะอยู่ได้ไม่นาน
ตลอดเดือนผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบกว่าทุกครั้ง ผมไม่ใช่คนโง่ที่เรียนไม่เก่ง ผลการเรียนของผมออกมาดีเสมอแต่พ่อไม่เคยรู้ต่างหาก ถึงผมจะเคยประชดพ่อด้วยการทำข้อสอบแบบผิดๆ จนเกรดออกมาไม่ดีก็เถอะ แต่ผมก็เลิกทำไปตั้งนานแล้วเพราะว่ามีคนสำคัญที่มักจะมาแอบดูเกรดเฉลี่ยผมประจำเวลาที่ผมได้ใบเกรดออกมา จนเป็นความเคยชินที่ผมมักจะเอาเกรดที่ได้วางไว้บนโต๊ะเสมอแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ผมอยากให้เป็นวันที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ ถึงได้อยากให้เย็นมาด้วย ผมอยากให้เย็นเห็นผมเรียนจบด้วยตาของตัวเอง อยากเห็นรอยยิ้มที่บอกว่าดีใจไม่ใช่แอบมองอยู่ห่างๆ
วันจบการศึกษา เป็นวันที่ผมจะบอกเย็นว่าผมอยากออกไปอยู่ข้างนอก อยากไปใช้ชีวิตอิสระตามที่ผมฝัน แม้ว่าผมจะได้ไปแต่ตัวแต่ก็ไม่เคยคิดกลัวสักนิดเพราะผมรู้เย็นต้องดูแลผมอย่างดีแน่ๆ แล้วผมก็อยากให้เย็นไปอยู่ด้วยตามที่สัญญากันเอาไว้
“เมื่อไหร่จะมานะ”
ผมยืนรอเย็นที่หน้าโรงเรียนในวันที่เรียนจบ วันนี้ผมจะได้อยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้าย ที่ผมต้องมารอเย็นเพราะว่าเย็นให้ผมมาก่อนเขาขอทำงานบ้านในส่วนของตัวเองให้เสร็จแล้วจะตามมาทีหลัง มันเลยทำให้ผมต้องมารอแบบนี้ แล้วเป็นอย่างที่ผมคิดไม่มีผิดพ่อมาที่โรงเรียนในวันที่ผมเรียนจบก็จริงแต่เขาก็มาเพื่อลูกรักของเขาไม่ได้มาเพื่อผม ภาพถ่ายครอบครัวที่สุขสันต์ของพวกเขาไม่ได้มีผมอยู่ด้วย ถึงจะเสียใจแต่มันก็ต้องทำใจ
ผมมองมงกุฎดอกไม้กับประกาศนียบัตรในมือที่ผมถือไว้อย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอคนสำคัญเพียงคนเดียว ตลอดเวลาที่ผมรอเย็นผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย เย็นจะร้องไห้ไหมนะที่ผมเรียนจบ แล้วถ้าหากว่าร้องไห้จริงๆ ผมจะต้องหาคำไหนมาปลอบดีนะ คิดแล้วก็นึกภาพของเย็นตอนร้องไห้ออกเลยจนผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างที่ผมคิดแน่ๆ
“คุณเรย์! คุณเรย์คะ”
“เย็น”
เสียงเรียกของเย็นดังมาจากอีกฝากของถนนแล้วโบกมือปอยๆ มาให้พร้อมกับในมือที่ถือช่อดอกไม้ช่อโตเอาไว้แนบอก เย็นในวันนี้แต่งตัวสวยกว่าทุกวันเสื้อผ้าที่ใส่เป็นสีเหลืองทั้งชุดทำให้มองเห็นมาแต่ไกล ทรงผมก็มัดเรียบร้อยกว่าทุกวันแถมยังแต่งหน้าอีกต่างหาก เย็นมองมาทางผมแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาเพื่อที่จะข้ามถนน ผมเห็นเย็นกำลังยิ้มให้กับผมพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจที่ผมเรียนจบ มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ
เย็นสัญญาคะคุณเรย์…..
เย็นมีความสุข ผมก็มีความสุขแต่ความสุขของผมมักจะอยู่ได้ไม่นานมันเหมือนกับเป็นคำสาป เป็นสัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริง
เอี๊ยด!!!
โครม!!!
ภาพตรงหน้าของผมคือคนที่ผมกำลังรอคอยลอยละลิ่วร่วงลงสู่พื้นเบื่องล่างเมื่อถูกแรงชนที่มาปะทะจากอีกทาง รอยยิ้มของผมที่มีในคราวแรกหุบลพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผู้คนที่เสียงดังรอบด้านมันไม่ได้ทำให้ผมสนใจสักนิด ขาที่สั่นๆ ก็ค่อยๆ เริ่มเดินไปยังร่างที่นอนจมกองเลือด ไม่กล้าที่จะจับหรือแม้แต่แตะต้องได้แต่ก้มลงไปจับที่มือเย็นๆ ที่กำลังสั่นเพราะความเจ็บ เย็นกำลังแกล้งผมใช่ไหม? หรือไม่ก็คงเป็นความฝัน ทั้งที่เป็นความฝันแต่ทำไมผมถึงได้เจ็บแบบนี้นะ
“ยะ เย็น.....เย็น”
“คะ คุณ.....เรย์ ดะ ดีใจด้วย ฮึก นะ.....คะ”
“เย็น ฮือ ฮือ เย็น ไม่นะ เดี๋ยวผมจะพาไปหาหมอ ฮือ”
“คุณ.....เรย์”
“ฮือ ฮือ อดทนนะเย็น อดทนไว้ อย่าทิ้งผมไป”
น้ำตาที่ไหลออกมามันทำให้ผมมองเห็นหน้าของเย็นไม่ชัด สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มที่เย็นยิ้มมาให้ผมก็เท่านั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะแน่นิ่งไปพร้อมกับลมหายใจของคนที่ผมรัก ผมกอดร่างเย็นไว้แล้วเขย่าตัวหวังจะให้ลืมตาอีกครั้ง ใบหน้าเล็กๆ ของผมซุกไปที่หน้าอกที่เปื้อนเลือดแล้วร้องเรียกชื่ออย่างไม่ขาดปาก ทั้งๆ ที่หูของผมก็อยู่ใกล้กับหัวใจของเย็นแต่ทำไมผมกลับไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเลยนะ
“ฮือ ไม่!!!!!!!!”
=======================================
อ่านะ ไม่ต้องหวังปาฏิหาร จะบอกว่าไม่มี ตอนแรกจะให้หนูนาจากไปแต่คิดไปคิดมาก็กลับกลายเป็นคนๆ นี้ ไม่รู้ว่าใครจะร้องไห้ไหม? แต่ฉากสุดท้ายเทคแต่งแล้วร้องไห้อ่ะ
ความจริงแล้วเรื่องนี้เอามาจากเรื่องจริงของเทคนิดหน่อย ก็มีฉากงานวันเกิด เทคไม่เคยจัดงานวันเกิด จะมีก็แต่ของขวัญที่ได้เท่านั้น
แล้วก็ 'คำสัญญา' ที่ไม่มีวันเป็นจริง คำสัญญาตอนแรกเกิดขึ้นตอนที่เทคยังเด็กๆ ยายที่เสียไปแล้วเขาให้สัญญากับเทคว่าจะพาไปไหนสักที่ในอีกวัน เทคก็จำไม่ได้แต่พอตอนเช้ามาถึง เทคก็นอนอยู่ข้างๆ ยาย เทคดูการ์ตูนตามประสาเด็กๆ รอยายตื่นเพื่อจะเที่ยวกับยายตามที่ยายสัญญาเอาไว้ แต่ยายก็ไม่ตื่น เทคนอนอยู่ข้างๆ ยายโดยที่ไม่รู้ว่ายายเสียไปแล้ว
สัญญาอีกข้อเกิดขึ้นตอนที่เทคอยู่ ม.2 กำลังจะขึ้น ม.3 เทคอาศัยอยู่กับพ่อเลี้ยง เขาเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี คอยดูแลและรักเหมือนลูกแท้ๆ ตั้งแต่ ป.2 เทคก็สอบได้ที่กลางๆ ตลอด ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง แต่พอสอบจะขึ้น ม.3 ไม่รู้อะไรดลใจให้เทคให้เทคตั้งใจเรียน จนสามารถสอบได้เลขตัวเดียวทั้งๆ ที่ไม่เคยได้มาก่อนนอกจากตอน ป.1 พ่อสัญสัญญากับเทคว่าตอนเช้าจะพาไปไหนสักแห่งก็จำไม่ได้เหมือนกันเพราะมันนานมาแล้ว แต่วันนั้นมันก็ไม่มาถึงเหมือนกัน ในตอน ตี2 พ่อของเทคเสียแล้วก็เป็นวันเดียวกันที่ให้สัญญากับเทค
ทั้งสองเหตุการณ์มันเป็น สัญญาที่ไม่มีวันเป็นจริง.....เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฝังอยู่ในจิตใจ จนยากที่จะลืมจริงๆ
ความคิดเห็น