princessofwind
ดู Blog ทั้งหมด

สัปดาห์ไฟนอลดีไซน์ แต่เครียดเรื่องลิฟต์

เขียนโดย princessofwind

เครียด...ก็ไม่เชิงเครียดหรอก สัปดาห์นี้ไฟนอลดีไซน์แล้วแต่ฉันกลับเอาแต่คิดถึงเรื่องลิฟต์ (โชคดีที่แบบผ่านมาก่อนแล้วเพราะตอนนี้ต้องเสียสมองไปถึงครึ่งหนึ่งกับเรื่องสาระ) เริ่มมาจากความสงสัยเล็กๆว่าทำไมเวลาลงลิฟต์เจอคนจากชั้นบนลงลิฟต์ด้วยกันมากกว่าคนที่ชั้นล่าง ถ้าคิดแบบปกติน่าจะมีโอกาสเจอเท่าๆกัน เพราะฉันอยู่ชั้นหก ที่ตึกมีสองลิฟต์ เวลาลิฟต์ว่างแล่วจะไปจอดพักที่ชั้นหนึ่งหนึ่งตัว ชั้นหกอีกหนึ่งตัว  เวลาใช้ลิฟต์มักจะพบว่าว่างแค่ตัวเดียวคือตัวที่จอดพักที่ชั้นหนึ่ง ตัวที่จอดพักที่ชั้นหกจึงน่าจะถูกเลื่อนไปใช้งานก่อน ตึกมีชั้นแปดชั้น สามชั้นล่างถูกแยกออกต่างหากมีที่กั้นตรงบันได คนจากชั้นสี่ขึ้นไปจึงต้องลงลิฟต์เท่านั้นนอกจากจะขึ้นลงบันไดหนีไฟ ซึ่งก็ไม่มีใครเขาใช้กัน และลิฟต์เข้าออกที่ชั้นสองหรือสามไม่ได้ ชั้นล่างกว่าฉันที่มีโอกาสเจอในลิฟต์จึงมีสองชั้นคือ สี่กับห้า ชั้นบนกว่าฉันที่มีโอกาสเจอในลิฟต์คือชั้นเจ็ดกับแปด

เลยมาคิดโอกาสที่จะเจอ โดยสนใจเฉพาะขาลง โอกาสที่จะเจอคนที่อยู่ชั้นบนกว่าคือ หนึ่ง ชั้นบนกว่ากดลิฟต์ก่อน ฉันกดลิฟต์ทีหลังเล็กน้อยเพื่อลงหรือขึ้นในทิศทางเดียวกัน สอง ต่างฝ่ายต่างก็กดลิฟต์เพื่อลงหรือขึ้นในทิศทางเดียวกันในเวลาที่ลิฟต์ไม่ว่างช่วงเดียวกันโดยไม่ต้องสนใจว่าก่อนหรือหลัง และ สาม ชั้นบนกว่ากดลิฟต์ทีหลังฉันเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ลิฟต์ยังเคลื่อนขึ้นมาไม่ถึงระดับของคำสั่งจอดลิฟต์ (คิดว่าคงเป็นตอนที่ได้ยินเสียงติ๊ง-ต่อง) ทั้งหมดนี้ลิฟต์จะรับข้างบนก่อนแล้วค่อยรับฉันลงไปด้วยกันจึงได้เจอกัน

โอกาสที่จะเจอคนที่อยู่ชั้นล่างกว่าคือ ฉันกดลิฟต์ก่อนเล็กน้อยเพื่อลงหรือขึ้นในทิศทางเดียวกัน สอง ต่างฝ่ายต่างก็กดลิฟต์เพื่อลงหรือขึ้นในทิศทางเดียวกันในเวลาที่ลิฟต์ไม่ว่างช่วงเดียวกัน และคนที่ชั้นล่างกว่ากดลิฟต์ทีหลังฉันเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ลิฟต์ยังเคลื่อนขึ้นมาไม่ถึงระดับของคำสั่งจอดลิฟต์  ทั้งหมดนี้ลิฟต์จะรับฉันก่อนแล้วค่อยรับชั้นล่างลงไปด้วยกัน โอกาสน่าจะเท่าๆกัน

หรือว่าต้องคิดในแง่ของระยะเวลาในการอยู่ในลิฟต์ ชั้นบนกว่าใช้เวลาและระยะทางในลิฟต์มากกว่าจึงทำให้มีโอกาสเจอคนที่อยู่ชั้นบนกว่าเรามากกว่าชั้นล่างกว่าเราเวลาลงลิฟต์ กรณีที่ลิฟกำลังต์เลื่อนผ่านชั้นของเราด้วยระยะเวลาในการอยู่ในลิฟต์มากกว่าคนอยู่ชั้นนกว่าจึงถูกชั้นล่างกว่ากดดักของลงไปด้วยกันได้มากกว่า แต่แบบนั้นก็คงไม่ใช่เพราะคนสองชั้นที่อยู่ล่างกว่าฉันก็น่าจะกดดักขอลงด้วยในระหว่างที่ลิฟต์ของฉันเลื่อนกดได้มากเท่าๆกับที่ฉันดักชั้นบน จริงๆแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับวามรู้สึกที่ว่าฉันเจอคนที่อยู่ชั้นบนกว่ามากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะตัวแปรอื่นเช่นคาบเรียบ เพราะแต่ละชั้นที่นี่แยกเป็นคณะไม่ได้ปะปน ชั้นบนอาจจะมีตารางสอนตรงกันฉันมากกว่า งั้นถ้าตัดตัวแปรนี้ไปล่ะฉันควรจะเจอคนที่อยู่ชั้นล่างกว่ามากกว่ารึเปล่า 

ยังมีอีก วิธีโกงลิฟต์ คือว่าลิฟต์หอมักจะถูกใช้ให้จอดที่ชั้นหนึ่งครึ่งหนึ่งของจำนวนครั้งทั้งหมดกับชั้นอื่นๆอีกครึ่งหนึ่ง สมมุติว่าเราอยู่ชั้นล่างๆใกล้ชั้นหนึ่ง เวลากดลิฟต์ลงในช่วงเวลาที่มีคนต้องการลงเหมือนกันเยอะ  เช่น เวลาหมดคาบเรียน ขอเรียกช่วงเวลานี้ว่าลงยอดนิยม คนชั้นล่างกว่าจะต้องรอนานกว่าเพราะลิฟต์จะไปรับที่ชั้นบนสุดก่อนให้ลงมาด้วยกัน ดีไม่ดีกว่าจะถึงชั้นล่างกว่าคนอาจจะลงเต็มลิฟต์แล้วก็ได้

เวลาลงยอดนิยมแบบนั้น คนชั้นล่างกว่าที่ต้องการลงอาจกดลิฟต์ ขึ้น เป็นการดักลิฟต์ มันจะมีคิว หรือกันลิฟต์อีกตัวไว้รับคนขึ้นแทนที่จะให้ลงทั้งสองตัว พอได้ลิฟต์มาค่อยกดเลขชั้นล่างที่ต้องการก็ลงได้เหมือนกัน

เช่นเดียวกับคนชั้นบนกว่า ในเวลาขึ้นยอดนิยมอาจกด ลง เพื่อการขึ้น แต่ว่าฉันไม่คิดจะทำจริงหรอกนะ ขืนลองทำดูทุกช่องโหว่ที่พอจะมองเห็นทางฉันก็คงจะเป็นคนที่แย่จริงๆเลย

คิดในทางสร้างสรรค์ โอกาสของการพบกันในลิฟต์ที่ว่านี้อาจไปประยุกต์ใช้กับนิยายรัก เช่น นางเอกอยู่หอเวฒย์มีทอมหล่อชั้นเจ็ดกับกับทอมอีกคนหล่อยิ่งกว่าอยู่ชั้นหก มีห้องว่างที่ชั้นแปดกับชั้นห้าจะเลือกอยู่ชั้นไหนดีจึงจะมีโอกาสพบรักในลิฟต์กับทอมหล่อมากกว่ากัน ที่ต้องยกตัวอย่างเป็นทอมเพราะชั้นห้าถึงชั้นแปดที่นี่หญิงล้วน

จีบตรงๆง่ายกว่า

 

ส่วนสัปดาห์ก่อนหน้านี้วุ่นวายคิดเรื่องการจราจรตรงทางแยก เราควรจะยึดตามหลักทั่วไปคือรถจากทางตรงไปก่อน รถจากเลี้ยวไปทีหลัง หรือยึดตามหลักน้ำใจโดยคิดจากความเร็วคือรถที่มีความสามารถขับเคลื่อนได้เร็วกว่าให้รถที่ขับได้ช้ากว่าไปก่อนเพราะเห็นว่าหลังจากรอตอนเลี้ยวแล้ว รถยนต์ก็สามารถแซงหน้าจักรยานได้อยู่ดี เช่นเดียวกับจักรยานรอให้คนเดินเท้าไปก่อน ด้วยเดี๋ยวก็สามารถแซงหน้าคนเดินเท้าได้อยู่ดี

พบว่าปัญหานี้ไม่ต้องคิดแล้วเพราะจากที่อ.หนอนเล่า มีประเทศหนึ่งทางยุโรปวางผังเมืองใหม่ กำหนดให้ไม่มีกฎจราจรใดๆทั้งนั้น รวมทั้งไม่มีไฟจราจรและทางเท้า คนเดินเท้า รถ จักรยาน สามารถสัญจรปะปนกันมั่วไปหมดบนถนนใหญ่ ใครจะไปก่อนหรือหลังก็ตกลงกันเอาเองด้วยน้ำใจ กลับปรากฏว่าจากเดิมเมืองนี้ซึ่งมีอุบัติเหตุบนท้องถนนมากเป็นอันดับแรกๆของประเทศ กลายเป็นเมืองที่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงเป็นอันดับท้ายๆของประเทศจนกลายเป็นเมืองตัวอย่าง เรื่องนี้สุดยอดเลย เห็นได้ชัดว่าจิตใจช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่ากฎเกณฑ์

กฎจราจรมีมากเกินไป แล้วยังสัญญาณไฟอีก ผู้ขับขี่จึงแค่ทำไปตามกฎ นั่นจะลดความเป็นมนุษย์ อาจจะลืมเรื่องศีลธรรม ลืมน้ำใจต่อผู้อื่น และการจราจรไม่ได้เป็นไปอย่างมีคุณภาพเต็มขีดความสามารถของถนนเพราะมัวแต่ต้องรอสัญญาณไฟกับเรื่องเลนถนน ถ้าวิ่งกันเต็มที่จริงๆจะสามารถไปได้เร็วกว่าที่เป็นกันอยู่  เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องศาลนั่นแหละ น่าจะมีสักเมืองเป็นเมืองทดลองที่ตำรวจกับผู้พิพากษาตัดสินความผิดตามจิตใจที่มีศีลธรรม คิดว่าผิดก็ลงโทษ เพราะตอนนี้เราเอาแต่ว่าตามกฎหมายจนลืมคิดแบบมนุษย์ที่ดีซึ่งจะถูกต้องครอบคลุมทุกกรณีมากกว่า กลายเป็นว่าคนที่ทำผิดชัดๆแต่อยู่ในช่องโหว่ของกฎหมายถือว่าไม่ผิด ใช้ได้ที่ไหน

               

 

                ช่วงนี้ได้พบว่าสิ่งที่เคยคิดไว้กลายเป็นรูปธรรมออกมาจริงๆแล้ว มันก็น่าตื่นเต้นดี เรื่องเมืองที่ไม่มีกฎจราจรนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ความจริงฉันคิดถึงเมืองที่ไม่มีกฎหมายต่างหาก และเมื่อวานนี้ฟังข่าว  เรื่องความสุขรายได้มวลรวมประชาชาติที่เอามาตัดสินความสุขของคนในชาติกำลังได้รับความยอมรับน้อยลง หันมาสนใจการวัดความสุขของคนในชาติด้วยความคงอยู่ของทรัพยากรแทนซึ่งเริ่มที่ประเทศภูฐาน ตั้งแต่ชั้นประถมที่ได้ยินเรื่องรายได้มวลรวมประชาชาติที่เอามาวัดความสุขของคนในชาติ ฉันก็ไม่เคยเชื่อเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านถึงมัน  มีแบบฝึกหัดให้ฝึกคิดรายได้มวลรวมประชาชาติที่ไรก็รู้สึกว่ามันงี่เง่า...นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่...พวกครูพยายามล้างสมองให้เป็นสาวกของพวกหัวทุนนิยมแบบรึไง..หรือว่าพวกครูเองก็ถูกล้างสมองมาแล้วโดยไม่รู้ตัว รวมไปถึงไม่เชื่อในการวัดความก้าวหน้าของแต่ละประเทศมาเปรียบเทียบกันโดยคิดแต่เม็ดเงินด้วย จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อขาดตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือทรัพยากร เขาไม่เอามาคิด เงินเป็นแค่สิ่งสมมุติ ทรัพยากรต่างหากเป็นของจริงที่ทำให้คนดำรงชีวิตอยู่ได้ ทรัพยากรที่เสียไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรที่ทดแทนได้ยาก รวมทั้งมลภาวะที่เกิดขึ้นจึงต้องนำมาคิดด้วยถึงจะรู้ว่าเศรษฐกิจของชาติเป็นบวกหรือลบ

น่าสงสัยมากว่าไอ้รายได้มวลรวมประชาชาติแบบที่ใช้กันอยู่หลอกผู้คนให้เชื่อมาได้ยังไงตั้งนาน ฉันว่าคนเราก็คงจะคิดได้แต่ทำเป็นปิดหูปิดตาล่ะมากกว่า อยากจะเชื่อแบบนั้นเพื่อจะได้เผาผลาญทรัพยากร และก่อมลพิษต่อไปได้อย่างสบายใด หลอกตัวเองว่าสิ่งต่างๆกำลังก้าวหน้าขึ้น จนตอนนี้นิเวศของโลกมีปัญหาอย่างชัดเจนจึงเริ่มเปลี่ยนแปลง

                กษัตริย์แห่งภูฐานเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดการวัดความสุขของคนในชาติด้วยความคงอยู่ของทรัพยากร ท่านเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเหมือนในหลวงของเราเลย เศรษฐกิจพอเพียงกับแนวคิดนี้ดูท่าจะควบคู่กับไปได้ดีจริงๆ อยากจะไปเห็นประเทศภูฐานจังเลย ประเทศเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความก้าวอย่างยั่งยืนโดยไม่หลงผิดกับทุนนิยมที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม รากเหง้า ประเพณี ไปเสียก่อน

 

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น