ตอนที่เจอไกอาทีแรกยังเป็นลูกหมาเล็กๆอยู่ในลานจอดรถตรงข้ามหอเวศน์ มันขี้กลัวมากๆและตั้งใจรักษาระยะห่างถึงขั้นว่าวิตกจริต กลัวตลอดเวลา กลัวทุกอย่าง ไม่ว่าจะเสียงแปลกๆ เสียงดัง คน รถ สัตว์ ของกินที่ให้ทีแรกก็ยังกลัว เป็นความกลัวระดับที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ยากแน่ๆ
แต่พอมันเข้ามาหลบในหอเวศน์ซึ่งกลายเป็นที่พักถาวรในที่สุด เด็กหลายคนที่นี่รักมัน มันได้อิ่มท้อง แม้จะไม่ทุกมื้อ แต่ก็ได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย มันดูไว้ใจคนมากขึ้น มีการเดินตามคน วิ่งตามจักรยานอยู่ภายในบริเวณสนามหญ้าของหอ และดูมีความสุขมากขึ้น สังเกตจากมีการเล่นประสาลูกหมามากขึ้น อย่างการกัดเล่น กลิ้งถูกไถตัวกับพื้นหญ้า ขุดดินซ่อนของ หรือขุดพื้นสนามหญ้าเป็นอุโมงค์ย่อมๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังตื่นตัวระวังระไวต่อทุกอย่างอยู่เสมอ และมีระยะห่างของตัวเอง มันรักษาระยะห่างเรื่อยมา แต่ระยะนั้นก็มีมากขึ้นน้อยลงแล้วแต่โอกาสหรือเหตุการณ์ที่มันเจอ
เท่าที่สังเกต ระยะห่างที่ไกอามีต่อฉันค่อยๆน้อยลงตามวลา และจะเพิ่มขึ้นหลังจากที่มันถูกยามดุ ซึ่งดูจากสิ่งที่มันทำก็สมควรอยู่หรอก ดีที่คนทำสวนไม่ใช่คนดุ ไม่งั้นมันคงถูกฆ่าไปแล้ว หรือระยะเพิ่มขึ้นหลังจากฉันแสดงท่าทีชัดเจนว่าพยายามจับตัวมัน จะทำให้มันไว้ใจฉันน้อยลง กรณีหลังนี้จะทำให้เพิ่มระยะห่างอย่างมากจนรู้สึกเลยว่าตัวเองพลาดไปแล้ว ก่อนจะค่อยๆน้อยอีกครั้งตามเวลา ตอนนี้ฉันจึงพยายามรักษาท่าทีอยู่ทุกวัน
เวลาไปหาไกอา ฉันจะสอนให้มันเดินตามไปส่งถึงหน้าประตูอาคาร แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องคอยให้ไกอากินอาหารเสร็จเสียก่อน จึงให้มันไปส่ง แต่วันนี้ขี้เกียจรอ เลยเดินเงียบๆออกมาก่อน ไม่นึกเลยว่าไกอาจะวิ่งตามมาส่งจนถึงสุดทาง (สุดทางคือมันเดินต่อไม่ได้แล้ว คือหน้าประตูอาคารหอ ไกลเกินกว่านั้นจะไปปรากฏต่อสายตายาม ไกอากลัวยามดุ) มันวิ่งมาทั้งๆที่เพิ่งกินอาหารได้แค่ครึ่งเดียว ฉันเคยคิดว่าสิ่งที่ไกอาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคืออาหารซะอีก แต่ก่อนก็คงเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ มันจะรีบกินอาหารทันทีมองคนที่เอาของกินให้มันด้วยสายตาหวาดกลัว กินเสร็จก็วิ่งหนี หรือถ้าของกินเป็นชิ้นๆก็คาบแล้ววิ่งจู๊ดหลบไปกิน ณ มุมอันไกลโพ้นโน่นเลย แต่ดูเหมือนพอฉันไปหามันบ่อยขึ้น มันก็เริ่มให้ความสำคัญกับฉันบ้างแล้วสินะ
ที่สำคัญกว่านั้น มีอยู่หลายครั้งที่ไกอาพยายามเดินเข้ามาใกล้จนเกือบถึงตัวก็เหมือนตกใจอะไรสักอย่างแล้ววิ่งหนีจู๊ด ก่อนจะพยายามทำใจกล้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ฉันได้อยู่นิ่งๆพยายามแสดงท่าทีว่าไม่มีพิษไม่มีภัย (และหลีกเลี่ยงท่าทางแบบที่ยามทำ ไกอาจำลักษณะเหล่านั้นแล้วว่าเป็นท่าทีคุกคาม) ก็พยายามให้โอกาสและรอเวลาให้มันต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง
ไกอาเหมือนคนเป็นโรคโฟเบีย มันคงมีความกลัวอย่างรุนแรงอยู่ในใจ ตอนที่ค่อยๆย่องเข้ามาหาฉันพร้อมสังเกตการณ์ไปด้วย ดูเหมือนมันจะอยากดมฉันใกล้ๆซึงเป็นสัญญาณที่ดีของมิตรภาพ แต่ว่าพอใกล้จะถึงเกือบจะแตะถูกตัวกันมันกลับตกใจสุดขีดวิ่งหนีไป อย่างกับฉันแปลงร่างเป็นยักษ์ในฉับพลัน น้ำลายหกย้อย และจะพุ่งตัวไปจับมันมากินอย่างนั้นแหละ ความจริงก็คือฉันนั่งรอนิ่งๆในท่าที่คิดว่าหมารู้สึกไว้ใจมากที่สุด ไม่ได้ขยับกลัว แถมยังลุ้นจนแทบไม่หายใจด้วยซ้ำ ฉันว่าตอนที่ตกใจคงมีภาพน่ากลัวปรากฏในความคิดของมันแน่ๆ เห็นว่าโรคโฟเบียในคนรักษายากต้องค่อยๆใช้เวลานาน Human Phobia ของไกอาก็คงจะเหมือนกัน ...ความจริงถึงตอนนี้ก็นานแล้วนะ
อย่างน้อยพัฒนาการที่ดีขึ้นของไกอาก็เป็นกำลังใจให้กับฉันได้มาก จากที่เคยเห็นมันเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่หลงมาจากดาวดวงอื่น (อายุราวๆสอง-สามสัปดาห์) ก็กลายเป็นลูกกระต่ายป่าขี้ตื่น (สองเดือน) จนถึงตอนนี้เป็นลูกหมาเล็กๆขี้กลัวตัวหนึ่งได้สักที (สามเดือนแล้วจ้า)
ความคิดเห็น
555+