✦ อนธการจิ้งจอก ✦ BL, YAOI [END]
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ นิยายวาย ผู้แต่ง : LLwuda.
My.iD :
https://my.dek-d.com/senkou/writer/
ตอนที่ 23 : เรื่องบางเรื่องใช่ว่าสามารถหลบเลี่ยง
บทที่ 22
เรื่องบางเรื่องใช่ว่าสามารถหลบเลี่ยง
บริเวณตัวเมืองด้านในของเมืองหลวงเกือบสุดปลายทางวิ่งออกชั้นนอก มีเรือนที่ก่อสร้างมาเนิ่นนานแอบซ่อนไว้หลังหนึ่ง ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก มองจากด้านนอกเห็นเรือนหลังเล็กสวยงามอย่างชัดเจน พื้นที่โดยรอบหลังรั้วมีหญ้าสีเขียวปูเป็นพรม มีบ่อน้ำใสสวยงาม สภาพสะอาดสะอ้านผ่านการดูแลเป็นอย่างดี
เรือนหลังนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็น่าประทับใจยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการความเรียบง่าย มิใช่เศรษฐีหน้าตาใหญ่โต…แต่ทว่าเรือนหลังนี้กลับมิมีผู้อยู่อาศัยมาเนิ่นนานแล้ว นานๆทีจึงจะพบรถม้ามาจอดบ้าง
บัดนี้โฉนดที่ดินของเรือนหลังที่ว่าอยู่ในมือของคุณชายหน้าตาดีผู้นึง
หลังจากที่เมื่อวานในเหลาอาหาร จินที่หงุดหงิดด่าทอจางฮุ่ยเฟิง ตัวโง่งมผู้ยอมยืนเป็นเป้ากระดานให้คนในตระกูลรุมด่าจนพอใจแล้ว ทั้งคู่ก็จัดการสัญญาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกัน
คราแรกจางฮุ่ยเฟิงตั้งใจจะนำมาเป็นข้ออ้าง รั้งตัวจินกับเสี่ยวผานเป็นกำลังให้กับตน แต่ตกลงกันไปมาจิ้งจอกหัวหมอก็เปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘ให้ความร่วมมือแทน’ นั่นแปลว่าหากงานไหนที่จินไม่อยากทำ เขาก็ไม่กระทำ สามารถเลือกงานได้เองหรือทั้งชีวิตจะไม่ทำเลยก็ได้
…เพราะอย่างไรโฉนดที่ให้ไปแล้วย่อมไม่กลับคืนมา
จินกับเสี่ยวผานแจ้งออกจากโรงเตี๊ยมก่อนวัน เสียค่ามัดจำไปครึ่งนึง จากนั้นทั้งคู่ก็พากันขนย้ายของเข้ามาในเรือนหลังใหม่ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างประทับใจในบรรยากาศของเรือนเป็นอย่างมาก
ด้านในเรือนถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ข้าวของอุปกรณ์บางอย่างมีครบครันอย่างพอจำเป็น ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ จับจ่ายซื้อของที่ดูหรูหรา...ส่วนใหญ่จะประดับไปด้วยของแปลกๆเรียบง่าย เช่น รูปแกะสลัก ภาพวาด ดอกไม้ ผ้าที่ถูกวางรองแต่ละผืนล้วนมีลวดลายแปลกตา
เสี่ยวผานดูรอบๆแล้วสามารถบอกได้ทันทีว่าของทั้งหมดน่าจะเป็นของภายนอกแผ่นดินแคว้น กลิ่นอายธรรมชาติสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน…เรือนไออุ่น กลิ่นดินฟ้า ราวกับว่าผู้ตกแต่งเรือนหลังนี้โหยหาความงามนอกแผนดินแคว้นอย่างคิดถึงเสียเหลือเกิน
“น่าจะเป็นเรือนของจางฮุ่ยเฟิงเลยกระมั้ง… ภายในสะอาดสะอ้านเช่นนี้คงมีคนมาปัดกวาดเป็นประจำ นอกจากตึกภายในรั้วของตระกูลจางแล้ว ที่นี่อาจเป็นเรือนยามพักผ่อนของเขาก็ได้”
เสี่ยวผานคาดเดาขึ้นมาระหว่างที่กำลังจัดสมุนไพรลงในตู้ห้องใหญ่ เรือนหลังนี้แบ่งออกได้เป็นห้องนอนสี่ส่วน ห้องใหญ่ตรงกลาง ห้องอาบน้ำ มีครัวถูกต่อยื่นออกไปด้านหลัง
ห้องโถงตรงกลางเรียบง่าย ปูด้วยพรมขนสัตว์ถักลายตรงด้านหน้าทางเดิน โคมไฟส่องบริเวณโต๊ะตัวใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโต๊ะวางของตัวเล็กๆวางอยู่อีกสองตัว เก้าอี้ถูกปูด้วยขนแกะ มีสีเขียวของดอกไม้ในแจกันเป็นส่วนเติมเต็ม เรือนหลังนี้ดูเป็นเรือนที่เต็มไปด้วยรสนิยมอย่างยิ่ง
เสี่ยวผานจัดข้าวของ ขยับขนย้ายทำความสะอาด พลันนึกถึงงานปัดกวาดประจำยามที่ตนอายุห้าขวบขึ้นมา นึกถึงบ้านน้อยบนภูเขา สามารถจดจำรายละเอียดได้ทุกซอกทุกมุมนั่นเพราะเด็กหนุ่มต้องทำความสะอาดพวกมันอยู่เป็นประจำ
สักพักเสี่ยวผานก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังพูดอยู่ฝ่ายเดียว ย่ามของจินยังถูกวางไว้อยู่ที่เดิม บริเวณเก้าอี้ปูคลุมด้วยขนแกะกลับเพิ่มจิ้งจอกสีดำตัวนึงเข้ามา มันนอนแกว่งหางอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังพักผ่อน เสี่ยวผานเห็นภาพนั้นก็ได้แต่หยิบย่ามของจินไปจัดใส่ห้องให้ด้วย
จนกระทั่งเสี่ยวผานทำทุกอย่างเรียบร้อย เด็กหนุ่มเดินไปจุดเทียนหอม ควันลอยคละคลุ้งปล่อยกลิ่นอายสดชื่นราวกับต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำ จิ้งจอกสีดำที่หลับตาสนิทอยู่ทำจมูกฟุดฟิด พวงหางทั้งหกยังคงโอบล้อมรอบกายตนเองไม่ต่างไปจากเป็นหมอนและผ้าห่มชั้นดี
โชคดีที่จินไม่ได้ตกปากรับคำจางฮุ่ยเฟิง…เสี่ยวผานไม่อาจคิดได้เลยว่า ถ้าจินตกลงจริงๆแล้วเขาจะทำอย่างไรดี สำหรับเสี่ยวผานแล้วจิ้งจอกเป็นทั้ง สหายรัก น้องชาย ผู้มีพระคุณอันเหลือล้น ทุกอย่างที่รวมกันมาเป็นเสี่ยวผานในวันนี้…ผู้ปั้นมันกว่าครึ่งก็ไม่พ้นเป็นจิ้งจอกสีดำที่นอนหลับตาอยู่
เสี่ยวผานถอนหายใจ ทำไมเด็กหนุ่มอายุตั้งมากมายเท่านี้ถึงได้เอาทั้งชีวิตไปวางไว้กับจิ้งจอกตัวเดียวกัน? แบบนั้นจินจะขาดซึ่งอิสระไม่อาจทำตามใจได้ในบางครั้ง ถูกผูกมัดไว้ให้คอยพะวักพะวงเกี่ยวกับตน
สุดท้ายแล้วตนเองก็ไม่ได้เติบโตขึ้นจากกาลก่อนแม้แต่น้อย…
เสี่ยวผานแค่นยิ้ม มือวางธนูที่เช็ดถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะ หันไปมองตรงเก้าอี้ก็พบว่าจิ้งจอกลืมตาขึ้นมาแล้ว ดวงตาดุมองไปทางด้านหน้าประตู เสี่ยวผานมองตามไปเห็นเงาคนยืนอยู่ด้านในรั้ว เดินวนอยู่ด้านนอกคล้ายมีธุระแต่ไม่กล้าเดินเข้ามา
จิ้งจอกกลับกลายเป็นคุณชายรูปโฉมงาม ร่างกายพักพิงอยู่กับเก้าอี้ปูด้วยขนแกะราวกับภาพวาด มือขาวซีดเท้าคางอย่างมีชั้นเชิงแม้กระทั่งปลายนิ้วยังเสกสรรมาอย่างสมบูรณ์ ดวงตาเรียวหรี่ลงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น คิ้วเข้มขมวดปมเข้าหากันราวกับพบเจอเรื่องยุ่งยาก
เสี่ยวผานพาแขกเดินเข้ามาก็พบจิ้งจอกกลายเป็นคนเรียบร้อยแล้ว
คนแรกที่เดินเข้ามากลับกลายเป็นเยี่ยกง…อาเหลา…ปิดท้ายด้วยไซมิ้ง เพียงเท่านี้เจ้าบ้านทั้งสองก็คาดเดาได้ว่าพวกเขามาด้วยเรื่องอะไร แม้แต่เยี่ยกงก็คาดเดาได้เช่นกันว่าเด็กหนุ่มทั้งคู่ทราบเหตุผลดีอยู่แล้ว
“พวกเราไปพบจางฮุ่ยเฟิงที่ตึกตระกูลจางมา พวกเขาบอกที่อยู่แก่พวกเรา”
คำพูดสุดท้ายของเยี่ยกงหลุดออกจากปาก ไซมิ้งก็ถลาขึ้นมาด้านหน้า…ใบหน้าอิดโรยผ่ายผอม ร่างสูงใหญ่ของผู้คุ้มกันหนุ่มหมอบกราบลงบนพื้น หมดซึ่งทองคำใต้เข่า โขกหัวคำนับเสียงดัง พลางขอร้องอ้อนวอน น้ำตาลูกผู้ชายมากมายหลั่งไหลลงพื้น
“ท่านคงทราบเหตุผลดีอยู่แล้ว ได้โปรดช่วยน้องสาวข้าด้วย!!” ไซมิ้งก้มลงขอร้องอยู่อย่างนั้น หน้าผากติดพื้นมิยอมยกขึ้นมา ไม่ว่าเสี่ยวผานจะพูดอย่างไร... บรรยากาศกระอั่กกระอ่วนจนอาเหลาต้องแสร้งหัวเราะอย่างโง่งมเพื่อคลี่คลาย
“ข้าช่วยไม่ได้” จินมองไซมิ้งที่คำนับอยู่บนพื้นอย่างสงบนิ่ง กล่าวด้วยเสียงราบเรียบธรรมดาราวกับปฏิเสธการช่วยสุนัขตัวหนึ่ง ไซมิ้งเงยหน้าที่คลุมไปด้วยหยาดน้ำขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อสายตา
จินพูดความจริง… น้องสาวของไซมิ้งถูกผู้ใดจับไป? เด็กสาวถูกจับตัวไปไว้ที่ไหน เขาจะไปรู้ได้อย่างไร? ผู้เดียวที่สามารถทราบเรื่องนี้ได้คงเป็นจางฮุ่ยเฟิง แต่การที่คนทั้งสามถ่อมาที่นี่หลังจากไปตึกตระกูลจางมาแปลว่าพวกเขาล้มเหลว
“เรื่องนี้ขอแค่ช่วยออกหน้าเกลี้ยกล่อมคุณชายจางฮุ่ยเฟิงก็พอ…หากแม้กระทั่งท่านพูดแล้วยังมิได้ พวกเราจะไม่มารบกวนพวกท่านอีก” เยี่ยกงเสนอความคิดขึ้นมาบ้าง พยายามคลี่คลายสถานการณ์น่าอึดอัด
“ข้าก็ขอร้องพวกท่านด้วยอีกคน!!” อาเหลาเดินมายืนด้านข้างไซมิ้งที่คำนับอยู่บนพื้นแล้วย่อตัวลงคุกเข่า สายตามองไปด้านหน้าด้วยความมุ่งมั่นจริงใจ
เสี่ยวผานมองไปที่จิน…ทุกสายตาตอนนี้รอคอยคำตอบจากปากคุณชายรูปงามเพียงผู้เดียว…
จินถอนหายใจลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งระหงค่อยๆก้าวเดินมาหน้าโต๊ะ มือยกขึ้นกอดอกขณะที่ใช้สายตาดุจสัตว์ร้ายมองลงเบื้องล่าง ดวงตาเรียวดุหรี่ลงอย่างพินิจ ทำเอาผู้คนที่รอคอยในห้องหายใจติดขัด
ไร้สุ้มเสียงจนน่าหวาดหวั่น…
มิต้องกล่าวถึงไซมิ้ง หากมีคนผู้นึงสามารถลุ้นตื่นเต้นจนขาดใจตายได้ คาดว่าผู้คุ้มกันคงขาดใจตายไปนานแล้ว แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของมันรอคอยเต็มที่ ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา
“ได้”
แววตาของผู้คนที่รอคอยเบิกกว้าง
“แต่…” นี่นับว่าเป็นการเว้นระยะที่ชวนให้ผู้คนหวาดเสียวอย่างแท้จริง จินพยักหน้าให้คนทั้งคู่ด้านล่างรีบลุกขึ้น “หากจางฮุ่ยเฟิงไม่ช่วย พวกท่านก็ห้ามไปกันเองเพียงสามคน นอกจากจะช่วยน้องสาวไม่ได้แล้วยังรั้นไปตายเปล่า”
ข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่ไซมิ้งไม่อาจรับปากได้ เป็นเยี่ยกงที่พูดขึ้นมาแทน “ได้ ถึงครานั้นข้าจะไปขอร้องนายน้อยดู ให้สำนักคุ้มภัยผานตงเคลื่อนไหว”
“ดี พวกท่านทั้งสามไปรอที่ผานตง ได้ความข้าจะไปหาเอง หากคืนนี้ยังไม่ไป ก็แสดงว่าแม้แต่ข้าก็โน้มน้าวใจของจางฮุ่ยเฟิงไม่ได้เช่นกัน”
“ขอบคุณท่าน!” ไซมิ้งก้มลงไปคำนับอีกครั้ง จนจิ้งจอกต้องแยกเขี้ยวขึ้นมา
“หากยังคำนับข้าอีก ข้าจะไม่ช่วยซ้ำยังจะโยนพวกท่านออกไปจากเรือนเดี๋ยวนี้อีกด้วย!”
ได้ยินดังนั้นเยี่ยกงจึงต้องรีบไปดึงตัวไซมิ้งขึ้นมา หัวหน้าผู้คุ้มกันปาดเหงื่อที่หลั่งไหลมิใช่น้อย มันกล่าวขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวจากไปรอที่ผานตง
เสี่ยวผานเดินออกไปส่งคนทั้งสามด้านหน้า สนทนากันเล็กน้อย ไม่นานนักก็เดินกลับมา
ก่อนจะพบว่าในเรือน ไร้ซึ่งแม้แต่เงาของสหายรักตนเองแล้ว…
ด้านบนหลังคาบ้านของผู้คน ตามปกติแล้วเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับการมีผู้คนปีนป่ายไปมา หากเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งหน่อยก็จะไปมาไร้ร่องรอย แม้กระทั่งฝุ่นดินเล็กน้อยยังไม่คละคลุ้ง
จินยืนอยู่บนหลังคาตึกหนึ่งของตระกูลจาง จิ้งจอกลอบข้ามกำแพงมาได้แล้ว แต่พอมาถึงกับพบว่าตึกของตระกูลจากมีเรือนมากมายมากกว่าที่คาดคิด ทั้งยังมีกับดักมากมายเช่นเดียวกัน เต็มไปด้วยค่ายกลที่เปิดใช้ภายนอกสำหรับผู้ที่ลักลอบมาทางด้านบนอย่างจิน
บนตึกเกือบทุกตึกวางด้วยค่ายกลหน้าแน่น หากกระทบถูกผิดจุดคาดว่ามันคงแผดเสียงร้องออกมา เรียกบรรดานักรบตระกูลจางแห่มา ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถหนีรอดแล้ว
แน่นอนว่าค่ายกลพวกนี้ ไม่สามารถหลอกจิ้งจอกได้
จินไม่มีทางเลือกอื่นอีก ได้แต่สุ่มหาไล่ไปทีละหลัง หรือจนกว่าเขาจะพบเจอเบาะแสอันใดก่อน …
จางฮุ่ยเฟิงนั่งอยู่ด้านในห้องทำงาน นัยน์ตาสีเทาลึกล้ำยามจ้องมองเอกสาร มือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะราวกับรอเวลา บริเวณใกล้เคียงมีมู่ฟ๋งนั่งอยู่ สายตาเหลือบมองผู้เป็นนาย ก่อนจะเปิดปากถาม
“นายน้อย เหตุใดจึงไม่บอกที่อยู่ของจางชิงฟงไปให้พวกเขาเล่า?”
จางฮุ่ยเฟิงหยุดเคาะโต๊ะ เลิกคิ้วขึ้น “เจ้าหัดเรียกพี่ข้าด้วยชื่อธรรมดาแล้วหรือ?”
“นายน้อยของมู่ฟ๋งมีคนเดียวนับว่าเพียงพอ” มู่ฟ๋งใบหน้าไม่มีปกปิดความรังเกียจจางชิงฟงออกมา ชายหนุ่มนั่งอยู่ด้านในห้องนี้มานาน นอกจากเล่นหมากล้อมกับตนเองก็ไม่มีสิ่งใดทำอีก ยามนี้ได้ด่าทอผู้คนออกมาจึงคลายความแก้เบื่อลงบ้าง
“เอาเถอะ” จางฮุ่ยเฟิงบอกปัด “มู่ฟ๋งเจ้ารอดู จากนั้นสามารถครุ่นคิดได้เอง”
จางฮุ่ยเฟิงเริ่มเก็บเอกสารบนโต๊ะ คาดว่าผู้ที่รอคอยคงใกล้มาเยือน…คนผู้หนึ่งเดินหมากหนึ่งตา ก็ถึงคราวที่เก็บเกี่ยวผลของมัน สำหรับจางฮุ่ยเฟิงแล้ว เด็กหนุ่มเดินหมาก ไม่หวังผลเก็บเกี่ยว เขายังคงเดินหมากตาถัดไป ตัดปิดเกมในคราเดียวต้องล้มทั้งกระดาน
ใช่แล้ว…จางฮุ่ยเฟิงก็เป็นคนเช่นนี้
ยิ่งยามอยู่เพียงสองคนกับมู่ฟ๋งแล้ว ผู้ติดตามหนุ่มไม่เคยพบเห็นรอยยิ้มจากนายน้อยตนเองอีก แม้กระทั่งรอยยิ้มจอมปลอมตามมารยาทก็ไม่ปรากฏแม้แต่น้อย
ก็อก ก็อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่กลับมิมีเสียงใดกล่าวต่อ มู่ฟ๋งกระชับกระบี่เดินเข้าไปใกล้ประตู มือเตรียมจะกระชากออกมา
“เดี๋ยวก่อนมู่ฟ๋ง” จางฮุ่ยเฟิงปรามผู้ติดตาม ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใครเดินเข้ามาเถิด”
พลันประตูเปิดออก ปรากฏเด็กหนุ่มผู้หนึ่งในชุดขาวเดินเข้ามา ใบหน้าหงุดหงิด ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองเจ้าของห้องอย่างถือโทษ เรียกให้จางฮุ่ยเฟิงมีรอยยิ้มน้อยๆ
“นั่งก่อนสิ”
“เจ้ารู้ว่าข้าจะมา?” เสียงต่ำราบเรียบ แต่กลับเย็นชาอย่างยิ่งจนไม่ว่าผู้ใดก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธ จินมาถึงตึกของจางฮุ่ยเฟิงจนได้ เขาอาศัยหาตึกที่มีทหารรักษาการณ์อยู่น้อยที่สุด ตึกที่โทรมและถูกบดบังจากตึกเรือนอื่นๆ
ดูจากความสัมพันธ์ของจางฮุ่ยเฟิงกับคนในตระกูล คาดว่าตึกก็คงเป็นเช่นนี้
“ข้ารู้” จางฮุ่ยเฟิงยิ้มบางๆ มือผายไปทางเก้าอี้ต้องการให้อีกฝ่ายนั่ง
จินนั่งลง บรรยากาศอึดอัดเกิดขึ้นทันทีเมื่อผู้มาเยือนนิ่งเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ดวงตาสัตว์ร้ายปิดลงราวกับต้องการดับอารมณ์ที่มี แต่ใบหน้าดุสักสองส่วนในสี่จนเป็นเอกลักษณ์ ทำให้แม้จะเหลือเพียงคิ้วที่ขมวดเป็นปมก็ยังคงดูน่าหวาดหวั่นจนไม่กล้าเข้าใกล้
“บอกก่อนว่าข้าไม่ได้หลอกใช้อะไรเจ้า เพียงแต่เรื่องนี้พวกเขาสามคนมิอาจทำได้ รวมคนทั้งหมดที่ข้ารู้จักแล้วมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยนางออกมา”
จินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด?”
“ถ้าเจ้ามาถึงที่นี่ได้ ก็สามารถช่วยนางออกมาได้เช่นกัน” จางฮุ่ยเฟิงเก็บรอยยิ้ม สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “แต่ข้ามีเงื่อนไข ข้ามีงานขอให้เจ้าช่วยเหลือตอนดึกคืนนี้แลกกับที่อยู่ของนาง”
“เจ้ากล้าบอกว่าไม่ได้หลอกใช้ข้า?” จิ้งจอกถามเสียงเย็น แววตาหรี่ลง
“ข้าเห็นว่าเจ้าเท่านั้นช่วยได้จึงบอกพวกเขา เป็นเจ้าที่รับปากไม่ใช่ข้า ส่วนเรื่องนี้เป็นผลพลอยได้…สบายใจเถอะ งานนี้เป็นงานง่ายๆไม่ได้ไปขโมยของหรือสังหารผู้ใด”
ลงแรงรับปาก แถมยังมาลอบมาถึงที่นี่แล้ว จะให้กลับไปมือเปล่าจินก็รู้สึกไม่ชอบ แน่นอนว่าเขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ครั้นจะให้ไปโกรธเด็กผู้หนึ่งก็ทำใจได้ลำบากเช่นกัน ยิ่งได้เห็นสภาพตึกเรือนในตระกูลนี้เทียบกับตึกเรือนของจางฮุ่ยเฟิงแล้ว อดรู้สึกสงสารและประทับใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนมิได้
จางฮุ่ยเฟิงเป็นเด็กที่เติบโตมาในประเภทที่ต้องระวังทุกฝีก้าว ดังนั้นสมองจึงยึดติดกับการวางแผนรัดกุมโดยไม่รู้ตัว เรื่องเล็กๆน้อยๆก็อดวางแผนเก็บเกี่ยวไม่ได้ คนประเภทนี้ไม่ใช่จินจะไม่เคยเจอ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ สุดท้ายแล้วคนประเภทนี้ส่วนใหญ่เริ่มต้นโดดเดี่ยวอย่างไร…ก็จะโดดเดี่ยวเช่นนั้นไปตลอดทั้งชีวิต
ทว่านิสัยเช่นนี้ควรไปเกิดอยู่ในผู้ใหญ่อายุยี่สิบกว่าปีหรือเข้าวัยกลางคน มิใช่มาปรากฏอยู่บนตัวของเด็กหนุ่มอายุรุ่นๆเช่นนี้
จินถอนหายใจ ก่อนกล่าวด้วยเสียงเข้มงวด “เจ้าบอกที่อยู่มา”
“อยู่ภายในตึกตระกูลจาง น่าจะเป็นตึกของจางชิงฟง พี่สี่ของข้า” จางฮุ่ยเฟิงตอบ มือหยิบกระดาษแผ่นเปล่าออกมา จุ่มพู่กันวาดแผนที่อย่างเชี่ยวชาญ “นางสมควรถูกขังอยู่ในคุกของทหาร ตึกของจางชิงฟงมีที่คุมขังอยู่ที่เดียว ต่อให้นางเป็นอิสตรีแต่จางชิงฟงมิใช่คนเมตตาปราณีคนนอก”
“แล้วงานของเจ้า?”
“ข้าจะเอางานไปให้เจ้าคืนนี้ รอที่เรือนเจ้านั่นล่ะ” กล่าวจบมือก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ พร้อมรอยยิ้มจอมปลอมแบบที่จิ้งจอกอยากจะจับเด็กไปข่วนดัดนิสัย
"ขอให้เจ้าโชคดี”
จินเก็บกระดาษพับใส่ด้านในเสื้อ เดินออกไปทางประตู ก่อนออกไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดทิ้งท้าย
“ค่าเหนื่อยของข้างวดนี้ อย่างไรก็ลงบัญชีเป็นชื่อเจ้า”
...จากนั้นประตูก็ปิดลง
ลับหลังมู่ฟ๋งได้ยินพลันรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา หันไปมองใบหน้าของนายน้อยก็อดแปลกใจไม่ได้ ชายหนุ่มมองกระดานหมากของตนเองกับหน้าจางฮุ่ยเฟิงลังเลว่าจะทักดีหรือไม่
สุดท้ายมู่ฟ๋งก็เอ่ยปาก “นายน้อยท่านดูเบิกบานใจเป็นอย่างมาก”
“หืม...ข้าดูเป็นอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเพิ่งเข้าใจสิ่งที่ท่านพูดคราแรก หากเปลี่ยนข้าเป็นเขา คงลงมืออัดท่านไปแล้ว ไร้น้ำใจทั้งยังเอาประโยชน์เข้าตัวอีก” มู่ฟ๋งแอบเหน็บแนม
“เขามีความอดทนกับคนอย่างข้าเป็นอย่างมาก...” จางฮุ่ยเฟิงพูดเสียงเนิบๆ มือเท้าคางอย่างครุ่นคิด ทว่าดวงตาสีเทามีแววดีใจอย่างปิดไม่มิด
“....หรือไม่ บางทีหลังจากนี้ข้าอาจถูกทวงบัญชีคืน จนเจ้าเปลี่ยนมาเป็นสงสารข้าเลยก็ได้”
มู่ฟ๋งถอนหายใจ “ประวัติเขาเป็นปริศนามาก ท่านส่งคนของเราไปหาตั้งหลายปี ยามนี้เพิ่งมาเจอกันท่านไม่คิดว่ามันบังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?”
“เจ้ามองแล้วเป็นอย่างไรเล่า?”
“น่าเสียดายที่ต้องกล่าวตามตรง หากเขาทรยศท่าน…ไม่ว่าจะทำอย่างไรท่านก็ตาย”
จางฮุ่ยเฟิงหัวเราะเบาๆ ให้กับคำตอบ
“งั้นก็ช่างเถิด ข้าไว้ใจเขา...หรือไม่เช่นนั้นเราคงต้องตกตายกันแล้ว”
จินอยู่ในตึกของจางชิงฟง ตึกคุมขังที่จางฮุ่ยเฟิงบอกนั้น ไม่มีแม้แต่ค่ายกล มีเพียงทหารยามธรรมดา จนจิ้งจอกแทบจะไม่เสียแรงกายแม้แต่น้อย ผิดกับตึกที่จางชิงฟงอาศัยอยู่ เพียงแค่มองจากภายนอกก็ยากที่จะมองให้ชัดเจนแล้ว เดิมที่จะผ่านตึกตระกูลจางเข้ามาด้านในก็ยากแสนเข็ญ ดังนั้นจางชิงฟงจึงหละหลวม เหตุเพราะนิสัยเสียส่วนตัวของชายหนุ่มด้วย
แต่เป็นเพราะพรหมลิขิตหรือสิ่งใดไม่รู้ จางชิงฟงที่ว่านี้กลับกำลังเดินอยู่บนทางเดินในตัวตึก มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องคุมขัง เป้าหมายเดียวกับเขาไปเสียได้
จางชิงฟงเป็นนายน้อยลำดับที่4ของบ้านตระกูลจาง คิ้วเข้มเหมือนจางหลี่และจางฮุ่ยเฟิงไม่มีผิด ดูท่ากรรมพันธุ์ทางด้านนี้ทั้งสามคงได้มาจากบิดา ผิดจากคิ้วของจินที่ไม่ว่าจะส่องกระจกยามใด ก็อดคิดมิได้ว่าหากบิดาไม่ได้หน้าสวยมาก ก็คงเป็นมารดาที่สวยล่มเมืองเทียบเท่าทูตสวรรค์ไปแล้ว
จินรออยู่ด้านนอก หูแอบฟังเหตุการณ์ด้านในห้องคุมขัง
“สังหารทิ้งไปเสีย ไร้ประโยชน์สิ้นดี พวกทหารที่ทำงานล้มเหลวด้วย!” เสียงของคนผู้หนึ่งตวาดดัง ตามมาด้วยเสียงด่าทอ...ขอร้องอ้อนวอนของเหล่านักโทษ
ไม่มีเสียงสนทนากันอีก ดูท่าพวกเขาคงเข้าห้องเก็บเสียงที่มีผนังหนากันไป จากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยามจางชิงฟงก็เดินกลับออกมาจากห้องคุมขัง ใบหน้าโกรธเกรี้ยวราวกับยักษ์มาร
“เจ้าเด็กขยะนั่นบังอาจหาว่าข้าเป็นกบฏ!!” จางชิงฟงถือจดหมายที่ได้มาจากทหารในห้องขัง มือถือมันขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นๆด้วยเพลิงแค้น เศษกระดาษปลิวว่อนออกไปตามสายลม
“นายน้อยท่านลดเสียงลงหน่อย” ผู้ติดตามด้านข้างเอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ
“มันผู้ใดจะกล้ามาแอบฟังในตึกของข้า!” จางชิงฟงตวาด “ยังมีพี่ใหญ่อนุญาตให้มันเข้าร่วมการคัดเลือกสัตว์วิเศษของตระกูลจาง...ต้องเอาสัตว์วิเศษระดับต่ำๆไปใส่ให้หมด...”
จางชิงฟงพึมพำกับตนเอง เดินลับไกลออกไป โดยมิได้สนใจว่าที่ด้านหลังจะมี ‘มันผู้ใด’ ที่ว่ากำลังแอบฟังบทสนทนาในตึกของตนเองดั่งที่กล่าวไว้จริงๆ
รอจนจางชิงฟงออกไปไกลแล้วจินก็สะกิดปลายเท้า โผล่ไปเบื้องหน้าทหารยามราวกับผีหลอก ทหารยามทั้งสองนายอ้าปากค้าง...เสียงยังไม่ทันหลุดจากลำคอพวกมันก็ล้มลงไปกองกับพื้นไร้ซึ่งสติแล้ว จิ้งจอกมองนายทหารที่สลบ แล้วใช้มนต์ลวงตาเปลี่ยนหน้าตนเองราวกับแฝดคนหนึ่ง
จินเปิดประตูอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องคุมขัง เหล่านักโทษหันมามองเป็นตาเดียว
“เจ้ามาหาใคร ข้าจะบอกเพียงแต่ช่วยข้าออกไปด้วย” ชายแก่ผู้นึงอยู่ที่คุมขังอันแรก เกาะลูกกรงพลางตะโกนเสียงดัง...จากนั้นเมื่อมีผู้นำ บรรดานักโทษในห้องขังก็พากันตะโกนเรียกร้อง พวกมันล้วนจำหน้าผู้คุมไม่ได้ ห้องขังของจางชิงฟงจุดกำยานบางอย่างที่ฉุนจมูกยิ่ง มีฤทธิ์ทำให้ผู้สูดดมต่อเนื่องหลายวันเลอะเลือน
จิ้งจอกตาวาวโรจน์ขึ้น มือยกขึ้นลอดเข้าไปในซี่ลูกกรง บีบคอนักโทษผู้โชคร้ายจนหน้าเขียวคล้ำ
“หากไม่ยอมเงียบ นอกจากข้าจะพาคนออกไปแล้วยังคิดสังหารพวกเจ้าด้วย”
“………….”
เป็นการข่มขู่ที่ได้ผล...ในห้องขังเงียบกริบ มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบา จินปล่อยนักโทษผู้โชคร้ายลง มันรีบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ห้องคุมขังด้านนอกนี้มีนักโทษไม่มาก ดูท่าที่เหลือจะอยู่ถัดไปจากประตูเหล็กกล้าบานใหญ่ดูท่าแล้วกักเก็บเสียงได้ดียิ่ง
จินไล่สายตากวาดมองทั่วห้องขัง เห็นเด็กสาววัยแรกแย้มนางหนึ่ง หน้าตาคล้ายไซมิ้งถึงแปดในสิบส่วนก็คาดเดาได้ไม่ยาก จางชิงฟงคงเห็นว่าหมัดเบาอย่างไซมิ้งนั้นหากสร้างบาดแผลให้จางฮุ่ยเฟิงได้ก็ดีไป แต่ในใจไม่คาดหวัง ดังนั้นนำน้องสาวไซมิ้งมาสั่งคุมขังไว้ที่คุกด้านหน้า
จินก้าวเข้าไปใกล้ลูกกรงเหล็ก กระบี่ซีอิ่งถูกดึงออกมา เพียงแค่กระพริบตาบนซี่ลูกกรงก็เกิดเป็นรอยเล็กบางเฉียบ ลากตรงอย่างสม่ำเสมอ ปลายนิ้วเรียวดันซี่ลูกกรงที่ถูกฟันเบาๆก็หล่นลงมา เกิดเป็นช่องเล็กๆเพียงพอให้เด็กน้อยวัยแรกแย้มลอดผ่านได้เท่านั้น
น้องสาวของไซมิ้งเห็นผู้มาใหม่กวักมือเรียกตนเอง ทั้งยังมีรูลอดบนกรงเหล็กดวงตาก็เกิดประกายความหวัง รีบวิ่งไปด้านหน้า พอลอดลูกกรงออกไปด้านนอกเป็นอิสระ ยังไม่ทันกล่าวขอบคุณร่างกายก็ถูกยกขึ้นอยู่ในอ้อมแขนของผู้มาช่วยเหลือ ดรุณีน้อยเห็นใบหน้าอีกฝ่ายหยาบกร้านเหมือนเหล่าทหารทั่วไปแม้จะเขินอายแต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
จินเปิดประตูกลับออกไปด้านนอก สะกิดปลายเท้าพลันร่างกายหายไปดั่งหมอกควัน จากนั้นบนทางเดินในตึกคุมขังก็เงียบสงัด...ไร้ซึ่งวี่แววการเคลื่อนไหวอีก
ทิ้งร่างที่หมดสติของนายทหารสองคนไว้เบื้องหลัง...
ดรุณีน้อยในอ้อมแขนหลับตาแน่น ในใจหมดซึ่งความเขินอายระหว่างสตรีกับบุรุษ ความไวจนลมเสียดหน้าเช่นนี้นางไม่เคยพบเจอมาก่อน พี่ชายเคยพานางขี่หลังวิ่งเลาะตามหลังคามาบ้าง แต่บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ว่าเร็วจนเกินไปแล้วหรือ? ยามผ่านที่ต่างๆนางไม่ยินเสียงสิ่งใดกระทบถูกกันด้วยซ้ำ
หรือว่าบุรุษผู้นี้มีฝีมือเยี่ยมถึงขั้นไปมาไร้ร่องรอยตามที่ผู้คนลือกัน?
พลันจู่ๆพาหนะเคลื่อนที่ของนางก็หยุดลง จากนั้นดรุณีน้อยก็หวีดร้องรู้สึกคลื่นลมตีขึ้นมาในลำคอ
ร่างกายของนางกำลังดิ่งลงด้านล่าง!
นางรู้สึกหัวหมุนเป็นอย่างมาก ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องหับแห่งหนึ่งแล้ว บุรุษแปลกหน้าวางนางลงบนเตียง ด้านในไฟสว่างไสวจนตาพร่าเลือน
“ไซเหมินชุย”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น นางหันไปมอง พลันมือเรียวถูกยกขึ้นมาปิดปาก ดวงตารื่นขึ้นด้วยหยาดน้ำ ดรุณีน้อยพุ่งตัวเข้าหาพี่ชาย คนทั้งคู่กอดกันอย่างลึกซึ้งความผูกพันธ์ในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว
เป็นฉากที่ผู้คนที่เหลือในห้องต่างประทับใจเป็นอย่างมาก อาเหลาถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าของมันเองขึ้นมาเช็ดน้ำตา แม้กระทั่งจินยังมีสีหน้าอ่อนลง
ผละจากอ้อมกอดพี่ชาย ไซเหมินชุยจะหันมาขอบคุณผู้มีพระคุณกลับต้องอาปากค้าง
ไฉนบุรุษหยาบกร้านผู้มีพระคุณของนาง จึงกลายมาเป็นคุณชายหนุ่มรูปงามไปได้!
“ขอบคุณท่านมาก บุญคุณนี้เราสองพี่น้องจะไม่มีวันลืม” แต่เป็นเพราะไซมิ้งคุกเข่าลงคำนับ ดังนั้นต่อให้งงงวยเท่าใด ไซเหมินชุยก็คุกเข่าลงคำนับตามพี่ชายไปด้วย
“เจ้าจะอยู่เมืองนี้ต่อไม่ได้”
“ข้าทราบ ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนกลับไปเมืองหน้าด่านตั้งแต่คืนนี้”
จินพยักหน้าอย่างพอใจ “ลุกขึ้นได้แล้ว ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
หลังจากบอกลาคนทั้งหมด เยี่ยกง อาเหลา ไซมิ้งกับน้องสาวต่างต้องรีบไปเตรียมกลับเมืองหน้าด่านคืนนี้ ดังนั้นจินจึงขอตัวจากมา ยามกลับจิ้งจอกไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาบนหลังคาเช่นคราแรก แต่เลือกที่จะเดินเท้าชมเมืองยามเย็น จับจ่ายซื้อขนมข้างทาง
กว่าสองเท้าจะเดินถึงเรือนก็ผ่านมาเกือบชั่วยามแล้ว ในมือมีของมากมายเต็มไปหมด ไฟตะเกียงในห้องใหญ่ถูกจุดสว่างอยู่ ด้านในมีเสียงผู้คนพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา
จินเดินเข้าไปสิ่งแรกที่สะดุดตาคือจางฮุ่ยเฟิงที่ยืนหันหลัง มู่ฟ๋งและเซี่ยจวิน มีหญิงสาวนางหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่เช่นกัน เสี่ยวผานที่ก้มตัวลงกำลังจับมือนางแน่น แววตาทอประกายโศกเศร้า...คับแค้นใจ
จางฮุ่ยเฟิงสังเกตุเห็นเป็นคนแรก ดังนั้นจึงเรียกให้จินเข้ามาใกล้
“เสี่ยวผาน ถิงถิง”
จินเบิกตากว้างเพราะคำเรียกที่ออกจากปากจางฮุ่ยเฟิง สตรีนางนั้นมองข้างหลังดูเหมือนสตรีชาวบ้านทั่วไป พลันหันหน้ามากลับทำให้ผู้คนต้องชะงักค้าง
มิใช่เพราะนางมีใบหน้างามล่มเมือง...หากแต่เป็นเพราะใบหน้าของนางอัปลักษณ์ราวกับปีศาจ!
“เกิดอันใดขึ้น” จินถามเสียงราบเรียบ มองถิงถิงในวัยหญิงสาวควรออกเรือนไปแล้วยิ้มให้
ใบหน้าของถิงถิงนั้นมีรอยไหม้เป็นแนวยาวครึ่งซีกหน้า ดวงตาซีกนั้นปิดลงราวกับไม่สามารถเปิดมันได้อีก ชิ้นเนื้อส่วนซีกนั้นมีสีเข้มลากยาวไปจนถึงลำคอ แม้กระทั่งขนคิ้วก็ยังไม่มีขึ้น... ถิงถิงยิ้มอ่อนใจ นางเห็นแววตาสงสาร เจ็บใจ คับแค้นใจของคนรอบข้าง มือเรียวจึงสางผมหน้าตนเองลง ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งพอดี
ถิงถิงแสร้งถอนหายใจ “ทั้งพวกท่าน ทั้งนายน้อยไยทำหน้าทำตาเช่นนี้กันหมด! เอ้า ข้าไม่เจ็บไม่คันสักหน่อย! เหตุใดยังต้องทำหน้าราวกับมีผู้ใดเสียอีกเล่า”
จางฮุ่ยเฟิงมองเสี่ยวผาน จากนั้นเด็กหนุ่มก็พยักหน้าให้ เดินไปยกสัมภาระมากมายของอิสตรีขึ้นมา “ถิงถิงห้องของเจ้าอยู่ทางนี้ ให้ข้าช่วยเจ้าหิ้วของก่อน”
รอจนคนทั้งคู่เดินเข้าห้องไปแล้ว จินจึงหันหน้ามาทางจางฮุ่ยเฟิงอย่างต้องการคำอธิบาย
“นางโชคร้ายเพราะข้าเอง” แววตาสีเทาไม่ได้สุขุม...ไม่ได้ลึกล้ำอย่างที่เคย มันมีแต่เพียงความโดดเดี่ยว เจ็บปวดรวดร้าวเท่านั้น จางฮุ่ยเฟิงเริ่มเปิดปากเล่าด้วยน้ำเสียงคับแค้น “วันหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน นางออกไปด้านนอกพบหัวหน้ากองทหารของจางเหลียนกำลังเกี๊ยวพาราสีสตรีชาวบ้าน พอพบเห็นนางเข้าก็เอ่ยเหยียดหยามข้าขึ้นมา”
จินรับฟังอย่างสงบ ใบหน้าไม่มีเปลี่ยนแปลง ดวงตาจ้องมองจางฮุ่ยเฟิงที่เริ่มมีสีหน้าดำคล้ำเพราะไฟแค้นเผาในอก เฉกเช่นที่เคยเป็นมาก่อน
“วันนั้นข้าเพิ่งถูกซ้อมมายกใหญ่ นางออกไปด้านนอกเพราะซื้อยา ในใจเกิดทนไม่ไหวขึ้นมาด่าทอหัวหน้านายทหารชั่วช้า ทั้งยังช่วยหญิงสาวชาวบ้านหนีไป เนื่องจากเพราะไม่อาจทำอะไรด้านนอกอย่างโจ่งแจ้งได้ ซ้ำนางยังเป็นคนสนิทของข้า มันจึงได้แต่หลีกหนีหน้าไปเท่านั้น”
“คาดไม่ถึงวันหนึ่งถิงถิงออกไปด้านนอก ถูกพี่ของข้าซึ่งเป็นลูกสตรีเรือนในของท่านพ่อคนหนึ่งใส่ร้าย หาว่านางลักขโมยสิ่งของ ข้าในตอนนั้นทำสิ่งใดไม่ได้ พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่... นางกลับมาหาข้าอีกทีก็เป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งยังขาดสติเพราะข้าโดนด่าทอวิ่งเข้าไปทำร้ายพี่สาวของข้าอีกด้วย หลังจากนั้นภายหลังข้าจึงได้ทราบว่าหัวหน้าทหารผู้นั้นเป็นชู้รักกับพี่สาวของข้า”
“นางได้รับโทษประหารอย่างไม่เป็นธรรม เซี่ยจวิ่นในตอนนั้นยังอยู่หน่วยอื่น แต่เขาเป็นคนของข้าแล้วจึงอาสาเป็นคนสังหารนาง ลักลอบพานางหลบหนีมา ข้าให้นางอาศัยอยู่ที่เรือนวันๆอยู่แต่ในห้องไม่อาจเดินเพ่นพ่านออกนอกห้องได้แม้แต่ก้าวเดียว นางเองอายุล่วงเลยมาถึง28ปีแล้ว แถมใบหน้าก็ยัง.....”
กล่าวยังไม่ทันจบดีจางฮุ่ยเฟิงก็เบือนหน้านี มือขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอก หายใจเข้าออกติดขัด ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาสีเท้าสะท้อนไปด้วยความคับแค้น มู่ฟ๋งรีบเดินเข้ามาดูอาการอย่างตกใจ
“เจ้าไม่ต้องเล่าแล้ว ข้าเข้าใจ”
“ไม่เป็นไร เจ้าคงมีคำถามอีก...” จางฮุ่ยเฟิงไม่ได้หลับตาสงบสติอารมณ์อย่างที่เคย เพียงมองใบหน้าของคู่สนทนา “ข้าสามารถตอบได้”
จินลังเลเล็กน้อย แต่มองเห็นความมุ่งมั่นแล้วจึงเอ่ยถาม “นี่คืองานที่เจ้าว่าใช่ไหม? แล้วนายทหารที่ทำร้ายถิงถิงเล่า...?”
“ข้าทำอะไรเขาไม่ได้ในยามนี้ แต่ในอนาคตเขาจะต้องชดใช้แน่” จางฮุ่ยเฟิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาสีเทามีประกายมุ่งร้ายวาดผ่าน
จินพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว อย่างไรเรื่องถิงถิงก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ลำพังไม่อาจกระทำคนเดียวได้ พวกเรามาคิดหาหนทางช่วยนางดู อย่างน้อยรักษาใบหน้านางได้ก็ยังดี”
จางฮุ่ยเฟิงคล้ายจะกล่าวสิ่งใดแต่ก็ชะงักเพราะเสียงเดินให้ได้ยินอย่างจงใจ เสี่ยวผานเดินกลับเข้ามาในห้องใหญ่พร้อมถิงถิง นางหันไปยิ้มให้จางฮุ่ยเฟิงดวงตาชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ
ถิงถิงเดินเข้ามาใกล้จางฮุ่ยเฟิง มือเรียวยกขึ้นมาสัมผัสใบหน้าเด็กน้อยคนเดิมของนาง
“นายน้อย...ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดแต่อย่างใด ถิงถิงกระทำสิ่งใดไปไม่เคยเสียใจ ตั้งแต่รู้จักท่านมาจนถึงวันนี้ข้ารักและเอ็นดูท่านเป็นอย่างมาก เสียใจเพียงแค่นับจากนี้จะไม่ได้ดูแลรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดอีกแล้ว”
นายน้อยจางฮุ่ยเฟิงของนาง...ผู้ใดจะรู้ว่าเลิศล้ำเกินผู้ใด ฉลาดเฉลียว เป็นเด็กดีมีน้ำใจกว่าผู้ใด ด้านนอกแม้จะดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจหรือต้องแสร้งเป็นโง่งม ใครจะสามารถรู้ได้ว่าภายในนั้นเปลี่ยวเหงาเพียงใด...โดดเดี่ยวเพียงใด...อบอุ่นต่อคนใกล้ชิดเพียงใด... แผ่นหลังที่คล้ายจะแข็งแกร่งนั้นไม่มีที่ใดให้สามาถพักพิงอย่างสบายใจได้อีกแล้ว นางเป็นห่วงภายภาคหน้านายน้อยจะนอนหลับไม่พอ หรือโหมงานจนไม่ทานอาหาร
คิดถึงตรงนี้ถิงถิงไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้อีก หากพูดเกินไปมากกว่านี้นางจะโศกเศร้าร้องไห้จนไม่น่าชมแล้ว อีกทั้งใบหน้าของจางฮุ่ยเฟิงดูเสียใจมาก ดังนั้นนางจึงต้องกระตุ้นตนเองให้ร่าเริง
“เอาล่ะ! นายน้อยท่านรีบกลับไปเถิด หากชักช้าเกินกว่านี้ท่านคงกลับเข้าตึกลำบากแล้ว!” ถิงถิงส่งสายตาฝากฝังแก่ผู้ติดตามทั้งสอง เซี่ยจวิ่นกับมู่ฟ๋งต่างพยักหน้าจากนั้นก็ก้มหัวลงบอกลาด้วยความเคารพ
พวกเขาไม่ได้มองนางเป็นหญิงรับใช้...แต่เคารพนางด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งอย่างอิสตรีคนหนึ่ง
“ถิงถิงอยู่กับจินและเสี่ยวผานเจ้าจะปลอดภัย”
จางฮุ่ยเฟิงบอกลาพี่เลี้ยงตนเองเป็นครั้งสุดท้าย เรือนหลังนี้เป็นที่เดียวที่คุณชายจางวางใจให้ถิงถิงพักอยู่ ตึกตระกูลจางต่อให้เป็นเรือนของตนเองก็ไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย หากผู้ใดพบถิงถิงเข้าไม่พ้นต้องโดนกลั่นแกล้งอีกแน่ นางไม่เก่งวรยุทธ์ ไม่สามารถดูแลตนเองได้อย่างเซี่ยจวิ่นหรือมู่ฟ๋ง ไม่ว่าผู้ใดที่เป็นคนสนิทของเขาต่างต้องโดนตอแยทั้งนั้น
พลันในอกรุ่มร้อนจนปวดแสบราวกับสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในใจปะทุขึ้นมาอีก
“ลำพังไม่อาจกระทำคนเดียวได้ พวกเรามาคิดหาหนทางช่วยนางดู”
สิ่งแรกที่จางฮุ่ยเฟิงคิดถึงที่คำพูดสามัญธรรมดาทั่วไป แต่กลับทำให้รู้สึกอุ่นใจเช่นประโยคนี้ คำว่า ‘พวกเรา’ จากปากอีกฝ่ายคงหมายถึงตนเอง เขา แล้วก็เสี่ยวผานเป็นแน่ ความรู้สึกบอกไม่ถูกเช่นนี้จางฮุ่ยเฟิงก็เพิ่งประสบครั้งแรก จากนั้นก็รีบกลบมันหายไป
จินกับเสี่ยวผานออกมาส่งคนทั้งสามที่ด้านนอก จางฮุ่ยเฟิงก้าวเท้าจะเดินทางไป จากนั้นก็เปลี่ยนใจหันเท้ากลับมา ริมฝีปากได้รูปขยับเอ่ยถามคำถาม
“ข้ามาเยี่ยมถิงถิงบ่อยๆได้หรือไม่?”
“ผู้ใดห้ามเจ้าเล่า”
จิ้งจอกเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ตอบกล่าวประโยคสามัญธรรมดา แต่กลับทำให้คุณชายตระกูลจางยกยิ้มมุมปาก อารมณ์แค้นจากเรื่องถิงถิงเงียบสงบไปตลอดการเดินทาง...
#TALK with LLwuda
คุณชายเฟิงนี่จะเยี่ยมถิงถิงหรือจะมาเยี่ยมใครคะ ดีใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ นี่เป็นอาการเบื้องต้นของการตกหลุมนะรู้เปล่า อิ v อิ ตอนนี้มีบ้าน(สินสอด)แล้ว คาดว่าคงได้อาบน้ำอย่างสบายแล้วค่ะ55 แม้กระทั่งเก้าอี้ก็โดนจับจอง
ถิงถิงเป็นตัวละครหญิงที่เราชอบมากคนหนึ่งเลยค่ะ นางเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งในเรื่อง กล้างัดข้อกล้าสู้เพื่อคนที่นางรัก ใครที่เชียร์ถิงถิงกับเสี่ยวผานนี่อายุจะเป็น 28 กิน 18 เลยนะคะ กินเด็กมากๆ55 (ส่วนเราชอบกินคนแก่ค่ะ *เคี้ยวคุณพี่จางหลี่*)
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน แล้วพบกันตอนหน้าค่า #ทาสจิ้งจอก
ปล. เราเห็นมีคำนิยมเขียนไว้ ขอบคุณคนเขียนมากๆค่า (ซับน้ำตาอย่างซาบซึ้ง) ส่วนชื่อเรื่องเป็นความจงใจของเราเองค่ะ จิ้งจอกอนธการเป็นชื่อเรื่อง ครั้นพอจะตั้งเป็นชื่อเรื่องรู้สึกธรรมดา เลยสลับกันซะเลย ฮา
โถ่พี่ถิงถิงน่าสงสารจัง
โถ่ถิงถิง
อ่านจบแล้วอยากจะแหมมมมมมมมมมมมมให้กับความเนียนของพระเอก
นี่คือครอบครัวนะ ทำกันแบบนี้ สายเลือดไม่ช่วยอะไร
งานแก้แค้นก็มาเหอะงั้นอะ