✦ อนธการจิ้งจอก ✦ BL, YAOI [END]
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ นิยายวาย ผู้แต่ง : LLwuda.
My.iD :
https://my.dek-d.com/senkou/writer/
ตอนที่ 6 : กลายเป็นจิ้งจอกติดเรดาร์
6/12/2015 แก้คำผิด
บทที่ 5
กลายเป็นจิ้งจอกติดเรดาร์
เซกัลเชบีนิ่งเงียบ เขาหรี่ดวงตาที่มักสุภาพอยู่ตลอดเวลาจ้องมองไปยังเบื้องล่าง กองกำลังลับของตระกูลเซกันทั้งหมดล้วนหมอบแทบเท้า
อัจฉริยะตระกูลเซกัลกวาดตามองค่ายกลของตระกูลเซกัลที่ถูกทำลาย ยังมีกองกำลังลับได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งคน…จากเรื่องราวทั้งหมดเซกัลเชบีมิอาจทำใจเชื่อได้ลงว่านี่เป็นฝีมือของจิ้งจอกน้อยแค่ตัวเดียว
สัตว์วิเศษระดับบรรพกาลมีสติปัญญาถึงเพียงนี้เชียวหรือ…?
สำหรับเด็กอีกคนที่ทางกองกำลังลับจับมา อีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาแน่นอน ประวัติที่ได้มามิมีอะไรผิดเพี้ยน จะผิดก็แต่ครานี้พวกเขาประมาทสัตว์วิเศษจนเกิดไป…จะกล่าวโทษกองกำลังลับก็มิได้ จับสัตว์วิเศษมาหลายชนิด พวกเขาก็ยังมิเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“คุณชายเชบี…” คนผู้หนึ่งผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอย่างอึกอัก คุณชายของพวกเขานิ่งเงียบมาเป็นเวลานานแล้ว สำหรับบุคคลที่อ่านยากเช่นนี้ดุด่ายังดีเสียกว่านิ่งเงียบ
เซกัลเชบีมองกองกำลังลับของตระกูลด้วยสายตายากเกินจะเข้าใจ เขาสะบัดตัวกลับไปขึ้นหลังม้า
“ถอนกำลังลับกลับเมืองหลวงให้หมด”
กองกำลังลับของตระกูลเซกัล แม้จะงุนงงแต่พวกเขาก็รับคำทันที
สำหรับตระกูลเซกัลแล้วการเดิมพันยิ่งมีแต่จะขาดทุนยิ่ง จิ้งจอกอนธการไม่แน่ก็กลับเข้าไปยังป่ามนตราด้านลึกสุดแล้ว เช่นนั้นต่อให้เขามิอาจได้มาครอบครอง แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นฉกฉวย
ทุ่มเทกำลังลับของตระกูลมามิใช่น้อย แต่ยังคว้าน้ำเหลว ตระกูลเซกัลคล้ายถูกตบหน้าครั้งใหญ่ในรอบหลายปี นับเป็นความอับอายของตระกูลยิ่ง
เซกัลเชบีใคร่ครวญดูแล้ว เขามิสามารถทิ้งกองกำลังตระกูลเซกัลไว้ได้นานกว่าอีกนี้ อีกทั้งหากจิ้งจอกอนธการกลับเข้าไปในป่ามนตราด้านลึก เช่นนั้นก็คงได้แต่รามือ… ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีข้อสงสัยมากมายก็ตาม
…สองวันให้หลัง ตระกูลเซกัลทั้งหมดก็หายไปจากเมืองหน้าด่าน
-----
“จิ้งจอกน้อยเจ้าพบสมุนไพรหายากอีกแล้ว” เสี่ยวผานเอ่ยอย่างตื่นเต้น
ผ่านมาได้สองสัปดาห์แล้วสำหรับการอยู่ร่วมกันกับคนรับใช้ใหม่ของเขา เสี่ยวผานเป็นเด็กที่เรียกได้ว่าเป็นยอดคนดีเหนือคนดียิ่ง ดูท่าเด็กผู้นี้หากไม่ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักชั่วร้ายบ้างแล้ว บั้นปลายชีวิตของเสี่ยวผานอาจมีจุดจบเฉกเช่นเดียวกับบิดาก็ได้
ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานับว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยสบายอย่างแท้จริง
สองวันแรกพวกเขายังไม่กล้าลงไปในเมือง จึงอาศัยช่วงเวลาตอนดึกสำรวจรอบๆ…จนกระทั่งพบว่าตระกูลเซกัลจากไปหมดแล้ว วันถัดมาเสี่ยวผานจึงลงไปเก็บข้าวของจากบ้านเก่า ข้าวของที่เสี่ยวผานนำกลับมาส่วนมากจะเป็นตำราแพทย์ของบิดา รวมถึงของใช้หลายอย่างอีกด้วย
โชคดีที่มิมีผู้ใดซักถามเสี่ยวผานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผู้คนในเมืองต่างก็ยังไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ นี่เป็นเหตุให้เสี่ยวผานจึงเป็นคนเดินเท้าเข้าเมืองเป็นประจำ ส่วนจินนั้นนานๆทีจึงจะไปครั้งเท่านั้น
สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ขนสีดำของเขานุ่มสลวยมากทีเดียว ตั้งแต่มีเสี่ยวผานเรื่องทุกอย่างล้วนสบายขึ้น เสี่ยวผานเป็นผู้ต้มน้ำให้อาบ ทำความสะอาดเรือน ซื้ออาหารจากในเมืองขึ้นมา วันไหนหากเขาอยากลงไปซื้อของ ก็จะมีเสี่ยวผานคอยตามแบกโดยมิปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย
ดูท่าการลงทุนคราวนี้เขาจะได้รับคนรับใช้ที่ยอดเยี่ยมมาแล้ว
ทางด้านเสี่ยวผานในเวลาที่ผ่านมาเขากลับพบความประหลาดใจหลายอย่าง เจ้าจิ้งจอกน้อยสามารถฟังเขาพูดรู้เรื่อง นอกจากนี้เด็กชายยังเห็นมันเปิดหนังสือของมนุษย์อ่านอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทั้งหนังสืออ่านยากสำหรับผู้ใหญ่ แผนที่ คัมภีร์วิชา เจ้าจิ้งจอกน้อยล้วนอ่านจนหมดสิ้น
นอกจากนี้เมื่อเขาเปิดหีบทั้งหมดในบ้านก็อดหันไปมองเจ้าสัตว์สีดำอย่างตะลึงตะลานมิได้ ในหีบนั้นบรรจุอาหารผลไม้มากมายไม่พอ ซอกหนึ่งของหีบกลับมีเงินทองรวมถึงเครื่องประดับราคาสูงมากมาย… จิ้งจอกน้อยตัวนี้ร่ำรวยยิ่ง ชีวิตของมันเมื่อเทียบกับคนผู้นึงแล้วกลับสบายกว่าด้วยซ้ำ
ในเวลากลางคืนเสี่ยวผานมักจะเห็นเจ้าจิ้งจอกกระโดดโลดเต้นไปมา บ้างก็นั่งนิ่งๆอย่างสงบ คล้ายผู้ฝึกกำลังภายใน มันแบ่งตำราให้เขาอ่าน นอกจากนี้อุ้งเท้าสีดำยังช่วยแนะนำอีกด้วย… เวลายามค่ำคืนหนึ่งจิ้งจอกหนึ่งคนจึงต่างพากันเดินลมปราณ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงและต่อสู้กับความเหน็บหนาว
เสี่ยวผานมักจะฝันร้าย จนกระทั่งฝึกกำลังลมปราณเด็กชายจึงทุเลาลงโดยไม่รู้ตัว แถมยังมีนิสัยตามติดเจ้าจิ้งจอกน้อย ไม่ว่ายามหลับหรือตื่นเสี่ยวผานก็คล้ายมีสหายรู้ใจ ความรู้สึกซาบซึ้งยังคงประทับอยู่ในใจตลอดเวลา
“นี่มันโสมหน้าคน!” เสี่ยวผานอุทาน มือเล็กๆหยิบสิ่งที่ขุดขึ้นมาจากดินขึ้นมาอย่างดีใจ
เสี่ยวผานคราแรกเขาเดินมาเก็บสมุนไพร ตั้งใจว่าในเมื่อมีบ้านอยู่ มีสหายแล้วก็จะทำงานสุจริตตามปกติโดยการเก็บสมุนไพรไปขาย ด้วยความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากบิดา หาเงินมาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน
ทว่าคาดไม่ถึงระหว่างที่กำลังขุดสมุนไพรนั้น เจ้าจิ้งจอกน้อยกลับใช้อุ้งเท้าตะกุยตะกายที่จุดๆหนึ่ง มันทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องใบหน้าของเสี่ยวผานนิ่ง เด็กชายจึงจำเป็นต้องไปขุดลึกลงไปอย่างช่วยมิได้ พอหยิบขึ้นมากลับพบสมุนไพรล้ำค่ามากมาย มีอายุรอบร้อยปีกว่ากันทั้งหมด
สำหรับจินแล้วเขาก็อดทึ่งในความสามารถของตนเองไม่แพ้กัน เขาตามเสี่ยวผานที่บอกว่าจะมาเก็บสมุนไพรขาย เด็กชายเล่าเรื่องที่เคยมากับบิดาเป็นประจำอย่างเบิกบาน เขามองเสี่ยวผานเก็บอย่างตั้งอกตั้งใจ พลันจมูกดันได้กลิ่นอะไรบางอย่างโชยมาจากใต้ดิน พอลงมือขุดก็พบสมุนไพรล้ำค่า? กลายเป็นว่ายามนี้เขาสามารถแยกแยะสมุนไพรได้จากกลิ่นแล้ว ถึงแม้ว่าจะจำประโยชน์มันได้ยังไม่ครบก็ตาม
…นี่คล้ายกับเรดาร์ตรวจจับสมุนไพรยิ่ง
พอเก็บสมุนไพรได้จนพอใจเสี่ยวผานก็เดินเท้าลงไปยังเมืองตั้งใจจะเอาสมุนไพรไปขาย มีเจ้าจิ้งจอกน้อยนอนขดตัวอย่างสบายอยู่ในย่ามเช่นเดียวกัน เด็กชายมองอาหารในงานเทศกาลแล้วกลืนน้ำลายเอือก อยากทานขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเดินผ่านสถานศึกษาเสี่ยวผานก็ยิ่งย่ำเท้าเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เด็กผู้นี้อยากเรียนหนังสือแต่ต้องอดกลั้น อยากรับประทานก็ได้แต่หลับตา
ความเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยมิได้เล็ดรอดสายตาจินออกไป จิ้งจอกน้อยได้แต่พ่นลมหายใจออกทางจมูก หากสอนได้เขาก็สอนหนังสือให้เสี่ยวผานไปนานแล้ว สถานศึกษาที่นี้สอนไปได้ซักพักก็มีแต่ความรู้เก่าๆ คล้ายย่ำอยู่กับที่ หนังสือที่เขาบังคับให้เสี่ยวผานอ่านยังมีประโยชน์กว่ายิ่ง เพียงแต่ในสายตาของชาวบ้านธรรมดาแล้วสถานศึกษาราวกับตำหนักสวรรค์วิมานน่าเชิดชูก็มิปาน
เงินทองมากมายที่ได้มาจากแม่นางน้อยใหญ่ในเมืองมากพอที่จะให้เสี่ยวผานซื้อขนมรับประทานอย่างสบายใจด้วยซ้ำ เพียงแต่เสี่ยวผานเป็นเด็กดีเช่นไร…คนเช่นนี้จะกล้าใช้เงินของผู้อื่นหรือ?
เสี่ยวผานเดินมายังที่ว่างของแผงลอย มือเล็กปูผ้าอย่างชำนาญ ก่อนจะนำสมุนไพรมากมายมาเรียงไว้ ส่วนทางตระกร้าใส่เงินนั้นมีจิ้งจอกตัวเล็กๆสีน้ำตาลนอนเฝ้าทับอยู่ ราวกับมังกรเฝ้าสมบัติอย่างไรอย่างนั้น มันแกว่งหางอย่างสบายอารมณ์
วันนี้ในเมืองคึกคักกว่าทุกวัน นี่เป็นเพราะเป็นวันเกิดของผู้นำตระกูลเฟิ่งซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหน้าด่าน ผู้นำตระกูลเฟิ่งนั้นนับว่าเป็นคนดียิ่งสำหรับชาวเมือง ตระกูลเฟิ่งเนื่องเพราะอยู่ใกล้ป่ามนตรา พวกเขาจึงกลายเป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์อสูร-สัตว์วิเศษมากที่สุดผู้นึง ตระกูลเฟิ่งนั้นชอบช่วยเหลือชาวบ้านในเมือง อีกทั้งลูกหลานยังอัธยาศัยดี ชาวเมืองจึงชมชอบเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้พวกชาวเมืองจึงจัดเทศกาลในวันเกิดของผู้นำตระกูลเฟิ่งทุกปี
เสี่ยวผานขายสมุนไพรอย่างคล่องแคล่ว ทักษะเขานับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่เสียทีที่มาค้าขายกับบิดาบ่อยๆ มีลูกค้าบางคนจำเสี่ยวผานได้ถามหาถึงบิดาเสี่ยวผานเป็นบางครั้ง เด็กชายก็ได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่าพวกท่านเสียชีวิตแล้ว
ด้านลูกค้าประจำของเสี่ยวผานอย่างโรงหมอในเมืองหรือผู้ที่ชอบมาฝึกวิชาตามป่าเขา ต่างประหลาดใจ พวกเขาดีใจมากที่เสี่ยวผานหาสมุนไพรที่ดีได้มากขึ้น สำหรับคนที่รู้คุณค่าของมัน…พวกเขาล้วนควักกระเป๋ากันอย่างไม่เสียดาย
“น้องชายไอ้นี่มันไม่แพงไปหน่อยหรือ” บุรุษหน้าเหี้ยมพุงพุ้ยผู้นึงถาม
“จะโก่งราคากันเกินไปแล้ว!” พวกเขาต่างพยายามทำเสียงดัง
กลวิธีแบบนี้พวกมิจฉาชีพมักใช้กันเป็นประจำ พวกเขาจะพยายามส่งเสียงดังเพื่อให้เจ้าของร้านอับอาย กลัวเสียหน้าตารีบขายของให้ในราคาถูกๆตามพวกเขาเรียกร้อง… มิจฉาชีพกลุ่มนี้เห็นเสี่ยวผานเป็นเพียงเด็กน้อยอีกทั้งสมุนไพรที่เอามาวางผู้คนที่มาซื้อต่างให้ราคาดียิ่ง เช่นนี้พวกเขาจึงตรงดิ่งเข้ามา
“เห็นแก่เจ้ายังเป็นแค่เด็ก พวกเราจะไม่กล่าวเปิดโปง รีบบอกราคาจริงมาได้แล้ว” คนกลุ่มนี้ต่างตระเตรียมคำพูดกันมาเป็นอย่างดี มือก็เตรียมจะคว้าสมุนไพร…ฉับพลันมีสิ่งใดบางอย่างนุ่มๆฟูมาปัดมือออกไปอย่างก้าวร้าวเสียก่อน
“เจ้าจิ้งจอกนี่หลบไป” คนผู้เดิมเตรียมจะเอามือผลักอีกครั้ง
เสี่ยวผานจับมือของอีกฝ่ายไว้เสียก่อนจะเกิดเรื่องขึ้น กล่าวด้วยเสียงอันดัง “พี่ท่านนี้หากท่านไม่เต็มใจซื้อก็ไปเสียเถิด หากทำร้ายแม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆก็มิใช่เรื่องที่ควรแล้ว”
ผู้ระแวกนั้นเริ่มหันมามองอย่างสนใจ เมื่อพวกเขาเห็นมิจฉาชีพพวกนี้คล้ายกำลังใช้กลโกงกับเด็กชายคนหนึ่ง ต่างก็พากันตะโกนทอด่า
“เจ้าลูกเต่า แน่จริงมาโกงบิดานี่มาเจ้าอย่าได้ไปโกงเด็กน้อย!”
“เฮะ พวกมิจฉาชีพตัวเหม็น ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
“เสี่ยวผานไม่ตกหลุมพวกเจ้าง่ายๆหรอก รีบเก็บพุงอ้วนๆของเจ้ากลับบ้านไปดูดนมมารดาได้แล้ว”
พวกเขาเอ็นดูเสี่ยวผานยิ่ง เด็กชายสูญเสียบิดา แบกย่ามใบใหญ่เดินเท้าเข้ามาขายสมุนไพรเป็นประจำ ประกอบกับมีเจ้าจิ้งจอกน้อยตามมานั่งหวงถุงเงิน นี่เป็นภาพที่ชวนให้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน? ผู้ใดเห็นแล้วจะอดเวทนามิได้บ้าง…?
ด้วยเหตุนี้บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามักมอบของเล็กๆน้อยๆที่เหลือให้เสี่ยวผานเป็นประจำ เด็กชายไม่มีสิ่งใดตอบแทนก็ได้แต่อึกอักไม่กล้ารับ แต่เจ้าจิ้งจอกกลับทำตรงข้าม มันอ้าปากงับขนมมากมายลงท้องทันที ทำให้เสี่ยวผานได้แต่ยืนยิ้มแห้งๆกล่าวขอบคุณบรรดาพ่อค้าแม่ค้า
“เฮะ!” พวกมิจฉาชีพสบถอย่างขัดใจ มันมองเจ้าจิ้งจอกที่จ้องมาด้วยความขุ่นเคือง หมายจะปัดตัวมันแรงๆ แต่ทว่ากลับต้องร้องลั่นขึ้นมา “โอ้ยย!” มืออ้วนๆถูกฟันที่แหลมคมกัดให้เต็มคำ ทิ้งรอยเขี้ยวและเลือดที่ซึมออกมาเอาไว้
“เจ้าจิ้งจอกนี่!” มันผู้นั้นโมโห กวาดแขนจะคว้าตัวเดรัจฉานที่กัดแขนมัน
“กรรรร” อุ้งเท้าที่มีกรงเล็บปัดแขนออกก่อนกระโดดหลบหนีอย่างคล่องแคล่ว สัตว์วิเศษแสนรู้ขู่คำราม สี่เท้าเดินออกห่างจากที่ตั้งเพื่อป้องกันสมุนไพรเสียหาย
เหล่ามิจฉาชีพเห็นสหายตัวเองโดนดังนั้นต่างพากันชักอาวุธออกมารุมจิ้งจอกหนึ่งตัวอย่างน่าไม่อาย พวกมันยิ้มโหดเหี้ยมพลางเดินเข้าหา หูเมินเสียงผู้คนที่ต่างตะโกนทอด่าหยาบคาย
“เพราะเดรัจฉานตัวนี้แส่หาเรื่องเอง โทษพวกเราไม่ได้นะ”
“จิ้งจอกน้อย!” เสี่ยวผานเป็นห่วงยิ่งเตรียมจะวิ่งมาทัดท้าน ทว่ากลับมีมือข้างหนึ่งยืนมาบังหน้าไว้ก่อน รอยยิ้มของหญิงสาวยิ้มให้น้อยๆ งดงามราวกับบุปผาสะพรั่ง นางก้มกระซิบกับเสี่ยวผานเด็กชายถึงยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่
พวกมิจฉาชีพวิ่งเข้าใส่จิ้งจอก พวกมันแกว่งอาวุธปลดปล่อยท่วงท่าออกมาทั้งหมด ส่วนใหญ่เน้นความองอาจดูเท่ อาวุธตัดผ่านอากาศเกิดเสียงดัง…แต่สำหรับจินแล้วมันกลับเป็นท่วงท่าที่น่ารำคาญคล้ายนกยูงรำแพนหางยิ่ง
ท่าต่อสู้พวกนี้ขยะมากๆ นอกจากไว้ดูแล้วทำอะไรไม่ได้อีก
จนพวกมันเริ่มเหนื่อยหอบจึงเริ่มเอะใจ นี่พวกมันฟาดฟันอะไรกันอยู่? จิ้งจอกที่น่าตายนั่นหลบเลี่ยงอย่างเอื่อยเฉื่อยคล้ายเบื่อหน่ายยิ่ง บนพื้นยังมิมีขนร่วงซักเส้นเลยด้วยซ้ำ
“หนอย! เจอนี่บ้าง” กลุ่มมิจฉาชีพมองหน้ากัน พวกมันเตรียมจะเรียกสัตว์คู่กาย เท่านั้นก็จะกลายเป็นมีจำนวนมากลุ้มรุมมากขึ้นแล้ว
“หยุดมือ!”
เสียงเล็กหวานแต่เฉียบขาดดังขึ้น หญิงสาวโฉมสะคราญผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางใส่เสื้อสีขาวที่เรียบง่ายแต่ดูหรู บนศีรษะเกล้าผมเป็นมวยปักด้วยปิ่นสีเงินประจำตระกูล เห็นได้ชัดว่านางมาจากตระกูลเฟิ่ง
“พวกเจ้าไม่ทราบหรือว่าวันนี้วันใด? หากสร้างความวุ่นวายมากกว่านี้เท่ากับไม่ให้เกียรติตระกูลเฟิ่งแล้ว!” แม้แต่มิจฉาชีพถ้าอยู่ในเมืองนี้ก็มิกล้าล่วงเกินตระกูลเฟิ่ง พวกมันหน้าถอดสีรีบวิ่งทันที
รอจนพวกมิจฉาชีพวิ่งหนีไปหมด สถานการณ์คลี่คลายนางจึงหันกลับมายิ้มแย้มให้เสี่ยวผาน ดวงตาที่ซุกซนมองจิ้งจอกสีน้ำตาลที่กลับไปนอนดังเดิมแล้วอย่างสนใจยิ่ง
“น้องชายเกิดเรื่องเช่นนี้ในวันงานของตระกูลเฟิ่ง ต้องขออภัยแล้ว”
เสี่ยวผานอ้าปากค้าง รีบส่ายหัวปฏิเสธทันที “นี่ไม่นับเป็นความผิดท่าน ยิ่งต้องขอบใจที่ช่วยจิ้งจอกน้อยเป็นอย่างมาก”
“ข้ามีนามว่าเฟิ่งหลิน มิทราบว่าน้องชายมีนามว่าอะไรหรือ?” เฟิ่งหลินยิ้มบางๆ รอยยิ้มของนางเรียกให้บุรุษต้องเขินอายกันทั่วบริเวณ
“ข้าเสี่ยวผาน ส่วนนี่จิ้งจอกน้อย” เสี่ยวผานค่อนข้างขัดเขินเล็กน้อย ถึงแม้เขายังเด็กแต่ทว่าหญิงงามเช่นนี้... เกิดมาเป็นชายผู้ใดไม่ชมชอบบ้างเล่า?
เฟิ่งหลินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “มันมิมีชื่อหรือ… หรือว่านี่มิใช่สัตว์วิเศษของเจ้า?”
“มิใช่ พี่สาวเฟิ่งหลิน ข้ากับมันคล้ายสหายอาศัยอยู่ร่วมกัน อีกทั้งมันยังเคยช่วยเหลือข้าหลายอย่าง” เสี่ยวผานเอ่ยอย่างอึกอัก เด็กชายโกหกไม่เก่ง เมื่อมากลบเกลื่อนเรื่องความสัมพันธ์ที่อธิบายได้ยากของตนเองกับจินแล้วยิ่งสร้างความสงสัยให้แก่ผู้คนมากขึ้นอีก
แต่เฟิ่งหลินสมกับเป็นบุคคลชั้นสูง นางรู้ว่าควรถามหรือไม่ควรถามสิ่งใด บัดนี้นางสนใจจิ้งจอกตัวนี้ยิ่ง ตระกูลเฟิ่งเชี่ยวชาญเรื่องสัตว์วิเศษ ที่แล้วมาหากไม่นับสัตว์วิเศษระดับสูงมากแล้วนางมิเคยเห็นสัตว์วิเศษตัวใดเฉลียวฉลาดเช่นนี้มาก่อน ยังไม่นับว่าจิ้งจอกตัวนี้ดูอย่างไรอายุก็ยังไม่ผ่านพ้นสิบปีด้วยซ้ำ
“เจอกันวันนี้วาสนาดียิ่ง ข้าถูกชะตากับเจ้าและจิ้งจอกตัวนี้มาก จากความวุ่นวายเมื่อครู่ด้วยอย่างไรก็ให้เกียรติข้าเฟิ่งหลินได้เลี้ยงพวกเจ้าสองสหายซักมื้อ”
เสี่ยวผานตกใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวโฉมสะคราญเช่นนี้เอ่ยปากชวน อีกทั้งนางยังเป็นถึงตระกูลเฟิ่งอีกด้วย จะตกปากรับคำก็เกรงใจ หากไม่ตกลงก็เท่ากับไม่ให้เกียรตินางแล้ว
หญิงงามผู้นี้รู้จักใช้คำบีบคั้นผู้คนยิ่ง
จินหันดวงตาเล็กเรียวไปมอง คำพูดเช่นนี้เด็กอย่างเสี่ยวผานไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เลย แต่ในเมื่อมีหญิงงามจะเลี้ยง…เหตุใดจึงต้องปฏิเสธเล่า? เขาลุกขึ้นยืน สี่เท้าเดินไปทางโฉมสะคราญ นี่เพื่อเป็นการรักษาหน้าแทนเสี่ยวผานด้วย ดูท่าคงโดนบีบคั้นคิดหาคำพูดตอบจนปวดหัวแน่แล้ว
“จิ้งจอกน้อยเจ้าจะไปหรือ” เสี่ยวผานถามอย่างตะลึง
จิ้งจอกสีน้ำตาลผงกหัวหนึ่งทีคล้ายพยักหน้า เฟิ่งหลินอดอุทานในใจไม่ได้ จิ้งจอกตัวนี้ฟังภาษาคนออกด้วย? อีกทั้งยังมีกิริยามิต่างจากมนุษย์เท่าไหร่นัก? ภายในใจนางรู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง แต่นางยังคงรักษาใบหน้ายิ้มแย้มไว้ตามเดิม บอกให้ทั้งคู่เดินตามคนของนางล่วงหน้าไปก่อน
...รอจนอีกฝ่ายเดินไปไกลแล้วนางจึงกระซิบเบาๆกับผู้ติดตาม “ไปตามท่านอามาด้วย”
ทางด้านจินกับเสี่ยวผานทั้งคู่เดินตามคนของตระกูลเฟิ่งมาหยุดที่ร้านน้ำชาร้านหนึ่ง นั่งรอซักพักท่ามกลางการคุ้มกันของตระกูลเฟิ่ง เพียงไม่นานเฟิ่งหลินก็เดินตามมาพร้อมกับบุคคลอีกคนหนึ่ง... เฟิ่งหลินเดินมาด้วยสีนางยิ้มบางๆ นางกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในร้านไปโดยทันที
คนทั้งคู่มานั่งพร้อมๆกับเด็กเสิร์ฟที่ยกอาหารออกมา เฟิ่งหลินยังไม่กล่าวอะไรเพียงแต่ให้ทั้งเสี่ยวผานรับประทานกันไปก่อน มือเรียวงามตักอาหารให้เด็กชายอย่างเอ็นดู
เสี่ยวผานนั้นเขานั่งตัวตรงเกร็งจนรับประทานสิ่งใดก็จืดชืดไปหมด หันไปมองเจ้าจิ้งจอกน้อยแม้จะนอนอยู่บนเก้าอี้เฉกเช่นเดียวกับตน แต่กลับกินอย่างสุนทรีย์ยิ่งนัก...ซักพักเสี่ยวผานจึงวางตะเกียบลงแล้วหันไปหยิบผลไม้ส่งให้จิ้งจอกแทน
พอเฟิ่งหลินวางตะเกียบ คนทั้งหมดก็มิกล้ารับประทานต่อ แม้กระทั่งจินก็หยุดเช่นกัน เขาเลื่อนดวงตาสีแอมเบอร์มองผู้มาใหม่อย่างระแวง...เขาได้ยินที่เฟิ่งหลินกระซิบกับผู้ติดตาม
คนผู้นี้จดจ้องผู้อื่นมาได้หลายชั่วยามแล้ว จิ้งจอกตัวนึงมีสิ่งใดน่าสนใจนักกัน?
“คนผู้นี้คือเฟิ่งเทียนท่านอาของข้าเอง...ท่านอาเด็กน่ารักผู้นี้คือเสี่ยวผาน ส่วนนี้คือจิ้งจอกน้อย” เฟิ่งหลินจัดการแนะนำผู้คนในโต๊ะให้รู้จักกันทั้งหมด นางเริ่มเล่าเรื่องเสี่ยวผานกับมิจฉาชีพเป็นการดึงดูดความสนใจ เสี่ยวผานนั้นไม่ได้ระแวงระวังสิ่งใด จึงตั้งใจผสมโรงเป็นอย่างมาก
วงสนทนานี้แม้จะนั่งอยู่ภายในร้านที่เต็มไปด้วยฝูงชน ทว่าคนคุ้มกันของตระกูลเฟิ่งกลับล้อมกรอบจนหมด เป็นไปมิได้เลยที่คนภายในร้านจะได้ยินบทสนทนา เฟิ่งเทียนมองมาที่จินอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาเจ้าจิ้งจอกน้อยแอบขนลุกซู่ เขาเห็นอีกฝ่ายนั้นหลับตาลง...ลืมตาขึ้นมาอีกที รอบกายเขารู้สึกสั่นสะเทือนราวกับกำแพงแก้วที่แตกร้าว สัญชาตญาณของเฉพาะตัวรับรู้ได้โดยทันที
...อีกฝ่ายมองมนต์ลวงตาของเขาออกแล้ว
แต่กระนั้นเฟิ่งเทียนก็ไม่ได้กล่าวเปิดโปงแต่อย่างใด เขาเพียงแต่เบิกตาค้างอย่างตะลึงตะลานเท่านั้น ทางเฟิ่งหลินเหล่มองผู้เป็นอา เมื่อเห็นว่าได้เรื่องได้ความแล้วจึงกระแอมไอขึ้น
“น้องเสี่ยวผานไม่ทราบว่าไปเจอกับจิ้งจอกตัวนี้ที่ไหนหรือ?”
เสี่ยวผานเห็นอีกฝ่ายพูดถึงจิ้งจอกน้อยบ่อย จึงเกิดความระแวงขึ้นมา “พวกท่านคงมิได้มาจับมันกระมั้ง?”
ครานี้เป็นเฟิ่งเทียนเปิดปากพูดขึ้นมาบ้าง “น้องเสี่ยวผาน ตระกูลเฟิ่งอย่างเราให้เกียรติเหล่าสัตว์วิเศษยิ่ง พวกเราไม่ทำเรื่องอย่างจับหรือกักกันแน่นอน… เราเพียงแค่เป็นห่วงจิ้งจอกน้อยตัวนี้เท่านั้น”
เฟิ่งหลินรีบกล่าวเสริม “ท่านอากล่าวถูกต้องแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็เป็นสัตว์วิเศษเลือกนาย มิใช่มนุษย์อย่างเราเลือกพวกมัน... ท่านอาเฟิ่งเทียนของข้านี้มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก น้องเสี่ยวผานดูแลจิ้งจอกเด็กคงยังไม่ทราบความ ข้าจึงเชิญท่านอามาแนะนำ”
“ขอขอบคุณพี่ท่านทั้งสองมาก” เสี่ยวผานยิ้มอย่างดีใจ เด็กชายสมเป็นเด็กซื่อบริสุทธิ์แท้จริง
“ปกติแล้วจิ้งจอกนับเป็นสัตว์อสูรระดับธรรมดา แต่พวกมันสามารถรวบรวมพลังปราณได้...เมื่อบำเพ็ญตบะจนมีหางเพิ่มขึ้นก็จะนับเป็นสัตว์วิเศษทันที ยิ่งมีหางถึงหกก็นับเป็นสัตว์วิเศษชั้นสูงมากแล้ว” เฟิ่งเทียนคล้ายกล่าวกับเสี่ยวผาน แต่ดวงตากลับกลอกไปทีจิ้งจอกสีน้ำตาลตลอดเวลา
“จิ้งจอกตัวนี้คงหลงฝูงมา มันยังคงต้องเรียนรู้การแปลงกาย เมื่อจิ้งจอกตัวหนึ่งมีหางเพิ่มขึ้นหรือมีปราณมากขึ้น พวกมันจะตัวใหญ่โตมาก...แต่พวกมันสามารถเรียนรู้การแปลงกายให้ตัวเล็กลงได้ นอกจากนี้การเดินลมปราณของจิ้งจอกยังต้องอาศัยสมุนไพรหายากอีกด้วย”
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเขาเองมีจมูกเรดาร์สมุนไพรเช่นนี้
เฟิ่งเทียนอธิบายเรื่องการจับคู่กับสัตว์วิเศษให้เสี่ยวผานฟังเพราะเห็นเด็กชายยังไม่มีสัตว์วิเศษ เขาอธิบายว่าจากการสำรวจของตระกูลเฟิ่ง สัตว์วิเศษจะมีสัญชาตญาณบางอย่างหรือความรู้สึกบางอย่าง เมื่อพบว่าต้องการคนนั้นในเวลาอันสมควรเป็นเจ้านาย เสี่ยวผานตั้งใจไม่พอยังจดบันทึกไว้ทุกคำพูดอีกด้วย
จินหาวเบาๆ ฟังเฟิ่งเทียนอธิบายเรื่องอื่นไปเรื่อยๆจนตกเย็น ถึงได้ร่ำลากัน นอกจากนี้เฟิ่งหลินยังมอบหยกประจำตัวให้เสี่ยวผานไว้ด้วย เพื่อให้เด็กชายสามารถหยิบยืมหนังสือในหอสมุดตระกูลเฟิ่งได้ตามใจ
ก่อนจากลาเฟิ่งเทียนก้มกระซิบเบาๆข้างหูสีดำ “ปกปิดตนไว้ จนกว่าจะปกป้องตนเองได้”
จินมองด้วยความฉงนแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนกระโดนเข้าย่ามเสี่ยวผานเตรียมนอนยาวจนถึงบ้าน ในใจเกิดคำถามผุดขึ้นเป็นระลอก... เหตุใดเฟิ่งเทียนจึงให้เขาปกปิดตนเอง?
ดูท่าจิ้งจอกสีดำที่โดนเผ่าพันธุ์รังเกียจ จะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง...
เสี่ยวผานนั้นวันนี้ขายสมุนไพรได้มากพอดู จึงรู้สึกอิ่มเอม เด็กชายกระตือรืนร้นมาก ขาเล็กๆรีบก้าวให้ถึงบ้านพักพิโดยไว เขามองกระดาษที่จดบันทึกข้อความของเฟิ่งเทียนอย่างละเอียดแล้วอดเป็นห่วงจิ้งจอกน้อยไม่ได้ มิรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะได้เรียนรู้สิ่งที่จิ้งจอกต้องทำบ้างหรือเปล่า
เด็กชายนั้นเขามิได้หวังเรื่องจะได้จิ้งจอกน้อยมาเป็นคู่หูอยู่แล้ว เสี่ยวผานมีความชอบส่วนตัว เขาอยากได้สัตว์วิเศษประเภทนก นั่นเป็นเพราะเขาชื่นชอบในตัวของเทพโอสถหิมะหงส์เป็นอย่างมาก บิดาเคยเล่าเรื่องของคนผู้นี้ให้ฟังบ่อยๆ เป็นธรรมดาที่เด็กน้อยมักจะชอบคนเก่งกาจ
กลับไปถึงที่พักพิงเสี่ยวผานก็ปลดย่ามออก เอาสมุนไพรที่เหลือไปเก็บยกเว้นโสมหน้าคน เขารีบเดินไปตักน้ำมาต้ม ทำความสะอาด เก็บข้าวของ ทำนู่นนี่ วิ่งวุ่นวายทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้จิ้งจอกน้อยยืนมองอย่างงุนงง
เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าไปแล้ว…?
มือเล็กๆจับยกสัตว์ขนดำขึ้นใส่อ่างที่ทำใหม่ด้วยไม้ไผ่สานอย่างทนทาน ขนสีดำถูกล้างอย่างเบามือคล่องแคล่ว ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามด้วยความรวดเร็วจินก็มายืนตัวแห้งขนสลวยสวยงามเรียบร้อยแล้ว
...เสี่ยวผานนี่เจ้ากลัวผู้ใดแย่งเวลานอนเจ้าไปหรือ
ผิดคาดเสี่ยวผานที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกลับลากเขามายืนประจำที่บนฟูก เอ่ยเร่งให้เขาทานโสมหน้าคนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าจิ้งจอกต้องใช้มันเดินลมปราณ อีกฝ่ายกางแผ่นที่วาดรูปจิ้งจอกยึกยือเอาไว้พลางพูดอย่างจริงจัง
“จิ้งจอกน้อยท่านพี่เฟิ่งเทียนกล่าวไว้ว่าเจ้าต้องเดินลมปราณเช่นนี้...” เด็กชายตั้งใจสอนจิ้งจอกสีดำเดินลมปราณเป็นอย่างมาก เขากลัวจิ้งจอกน้อยนั้นจะอายุสั้น ตัวไม่โต โดนสัตว์วิเศษตัวอื่นรังแก
“พอผ่านจุดนี้แล้วก็รวมไว้ที่ท้อง สมดุลของเส้นลมปราณจิ้งจอกนั้นซับซ้อนยิ่ง ห้ามต่อต้านพลังปราณแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากหางด้วย!” เสี่ยวผานกำชับ
จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกจึงทำเช่นวันที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าครานี้จินลองเดินปราณอย่างเฟิ่งเทียนดู ร่างกายรู้สึกเบาสบายยิ่ง คล้ายลมปราณโคจรได้รวดเร็วมากกว่าเดิม... โคจรลมปราณจนรู้สึกโล่งแล้วจิ้งจอกสีดำก็เตรียมตัวจะล้มตัวนอน ฉับพลันเขาสัมผัสได้ถึงขุมพลังแปลกประหลาด
หรือนี่จะเป็นขุมพลังยามที่จะมีหางเพิ่มอย่างที่เฟิ่งเทียนบอก?
จินลองผสมรวมลมปราณสองชินเข้าด้วยกัน ร่างกายกลับร้อนประหลาดขึ้นเรื่อยๆราวกับถูกแผดเผา
ลมปราณพิลึกนั่นกลับโคจรเอง! จินกัดฟันแน่น ร่างกายจิ้งจอกอยากจะขดตัวแต่กระดิกตัวไม่ได้แม้แต่น้อย ความร้อนโคจรทับเส้นลมปราณไปทั่วตัว ยิ่งมันหลอมรวมกับลมปราณเก่ากลับยิ่งทวีความร้อนยิ่งขึ้น
จินรู้สึกร่างกายเหงื่อยออกเต็มไปหมด ปวดแสบปวดร้อนจนอยากกลิ้งไปมา เขาพยายามควบคุมแต่ราวกับลมปราณนี้ต้องการกลืนกินทุกสิ่ง ความรู้สึกราวกับตนเองลุกไหม้นี้แม้แต่ยาพิษขนานไหนบนโลกเขาก็ยังมิเคยพบเจอ
เจ้าลมปราณแผ่พุ่งพลังในร่างกายเล็กๆอย่างรุนแรง มันคล้ายต้องการกลืนกลิ่นร่างกาย...ต้องการที่จะระเบิดออกมา ร่างกายเล็กๆของจิ้งจอกตัวร้อนจนเสี่ยวผานเขย่าอย่างไรก็ไม่ตื่น
เจ้าจิ้งจอกตัวน้อยถึงกับสลบไสลไปแล้ว...
#TALK with LLwuda
สวัสดีทุกท่านค่ะ ก่อนอื่นเลยสารภาพว่าเมื่อวานแอบไปติดโนเวลเรื่องอื่นมา(/////)
อีกเรื่องคือไม่รู้ใครกดโหวตให้เรา ขอบคุณสำหรับ100%มากค่ะ ทราบซึ้ง แต่เรารักทุกคนที่เข้ามาอ่านเหมือนกันนะ (รีบกลบเกลื่อน) ซียูว์ตอนหน้าค่า <3 ส่วนเรื่องลงช้าหรือเร็วหรือสองตอนนั้น...ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเรตติ้งและแรงกดดัน55 /ปิดตาหนี
ปล. บางคอมเม้นท์ที่ถามเกี่ยวกับเนื้อหาเราขอไม่ตอบนะคะ รอลุ้นไปด้วยกันดีกว่าน้า^ ^
จะตายมั้ยเนี่ย???? จิ้งจอกน้อยยยยย
ตายล่ะ เป็นอะไรมั้ยเนี่ย หรือว่าตื่นมาจะกลายเป็นคน
น้องจะกลายร่างแล้วแน่ๆเลยยย
บางทีก็อยากให้เสี่ยวผ่านเป็นคนเลวบ้าง น้องงง