ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Promise พรายนครา

    ลำดับตอนที่ #2 : แว่วเสียงนกแสก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 256
      2
      23 พ.ค. 59


     


     

    “ขอให้มันเจ็บปวดยามตื่นฝัน ขอให้ร้อนดั่งไฟเผา ขอให้เศร้าทุกข์ระทม แม้นสุขใดก็อย่าได้ยล!

    เฮือก!

    อันธิกา ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ สำลักจนแสบโพรงจมูก เธอเกือบจมน้ำตายเพราะฝันร้ายนั่น หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหลับตาลง เอนหลังพิงขอบอ่างด้วยความเหนื่อยอ่อน

    เสียงกรีดแหลมยังก้องกังวานในเรือนหู ทว่าแผ่วเบาคลับคล้ายแว่วดังมาจากที่ไกลแสนไกล ถึงกระนั้นอันธิกากลับได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ความเคียดแค้นชิงชังที่สะท้านมากับเสียงนั่นยังชัดแจ้งชวนหนาวเยือก ละม้ายว่าใครคนนั้นได้เผชิญความทรมานอันสาหัสนักจึงได้เปล่งวาจาน่าสะพรึงเช่นนั้นมา

    อันธิกายกมือลูบใบหน้าเปียกโชกขับไล่ฝันร้ายให้พ้นจากมโนสำนึก วันนี้หญิงสาวควรระลึกถึงความสุขมากกว่าความฝันอันไร้แก่นสาร มือเรียวผลักม่านบังตาเลื่อนออกแล้วลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ หยดน้ำพร่างพรายไปตามพื้นกระเบื้องดินเผา ร่างงามเดินผ่านลับแล(1) ไม้ฉลุลายไปหยุดหน้ากระจกตั้งพื้นบานสูง ก่อนจะดึงเสื้อคลุมขนหนูสีขาวบนราวแขวนทองเหลืองมาห่มร่าง

    บานกระจกสะท้อนภาพหญิงสาวผมสีดำยาวสยายเปียกโชกถึงบั้นท้าย ดวงตางามกลมรีราวผลลูกหว้าแต่ฉายประกายคมปลาบ ริมฝีปากเผยอและจมูกรั้นอย่างคนเย่อหยิ่ง หญิงสาวแย้มยิ้มลืมเลือนฝันร้ายจนสิ้น เธอเลื่อนนิ้วไปบนโต๊ะไม้สักเก่าแก่แล้วแตะตลับไม้ลงรักที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น ภายในตลับบรรจุสร้อยเงินรูปเครือเถาแลดูอ่อนช้อย แสงไฟสะท้อนลวดลายบุปผาชาติที่สลักบนแผ่นเงินอันประณีต

    ใบหน้าอาบแสงไฟสลัวจนแลดูขาวนวลเป็นยองใยเชิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อนำสร้อยเงินเส้นนั้นมาวางพาดลำคอระหง ประกายสีน้ำผึ้งในดวงตาของอันธิกาฉายแวววูบวาบ

    เธอจะกลายเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดในรัตติกาลซึ่งกำลังมาถึง

     

    นกแสกกรีดร้องอยู่เหนือยอดจั่วไม้ของศาลาหลังใหญ่ ก่อนจะโผจากไปโดยไม่มีผู้ใดในพิธีมงคลมองเห็น

    “ฝ้ายเส้นนี้แม่นฝ้ายพระยาแถน...

    ป่อนแขนมาพ่อสิผูกเอาเป็นลูกของพระยา

    ผูกกั้มซ้ายหื้อขวัญเจ้ามา ผูกกั้มขวาหื้อขวัญเจ้าอยู่

    หื้อเป็นคู่เทียมสอง หื้อปรองดองฮักหอ”

    ใต้เวิ้งฟ้ามืดหมอก แว่วเสียงพร่ำคำเรียกขวัญสำเนียงพื้นบ้านอีสานของชายชราดังแหบเครือ พิณไม้ตะเคียนทองแว่วหวานในพิธีมงคล ค้อนและกลองคอยรับส่งกันไปมาราวหยอกเย้า สายลมพัดเกรียวกราว กิ่งพิกุลต้นใหญ่กลางลานกว้างลู่ไหว ปลิดดอกสีขาวเล็กๆ ร่วงพรายละม้ายสายฝนโปรยผ่าน

    เสียงกล่อมขวัญดังมาจากศาลาไม้มะเกลือสีดำขึงขังหลังใหญ่ บายศรีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางศาลา ประดับแพรวพราวด้วยมวลบุปผาหอมหวน ผู้คนคับคั่งนั่งรายล้อม ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าพื้นเมืองคล้ายกับย้อนไปในอดีตกาลของอารยธรรมโบราณ

    หากทว่าสตรีผู้งามเด่นที่สุดในงานมงคลครั้งนี้กลับนั่งอยู่กลางวงล้อมในท่าพับเพียบต่อหน้าผู้เฒ่าวัยชรา ผมสีดำขลับเกล้ามวยสูงประดับดอกไม้และปิ่นเงิน ผ้าซิ่นที่สวมเป็นผ้ามัดหมี่ลายนกยูงลำแพนสีม่วงเข้มจนเกือบดำ สไบเฉียงซึ่งพาดไหล่หญิงสาวเป็นผ้าไหมทอลายขิด(2) สีเลือดนกอันเป็นของเก่าแก่แต่ต้นตระกูล

     “อันธิกาของผมเหมือนเจ้านางในภาพวาดเลย” ชายหนุ่มใบหน้าคมขรึม ผู้โพกศีรษะด้วยผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มเอ่ยกระซิบกับเจ้าสาวของเขา ดวงตาสีอำพันใต้แพขนตาหนาของเขาเป็นประกายฉ่ำหวาน ริมฝีปากบางเฉียบมีรอยยิ้มไม่จาง

    “สองอนงค์ลูกของพ่อ มาแหนแห่เฮือนหอ

    เจ้าพอใจมาอยู่ฮ่วม มาอยู่ร่วมเป็นแผ่นทอง

    คนทั้งสองสมเผ่า เป็นคู่เก่านำมา”

    ผู้เฒ่าดวงตาฝ้าฟางผู้นี้โพกศีรษะด้วยผ้าเก่าสีน้ำเงินเข้มจนดูเป็นสีดำ มือเหี่ยวย่นและแห้งผอมของแกฟั่นด้ายดิบพันรอบข้อมือของสองบ่าวสาว พลางพร่ำสวดเรียกขวัญด้วยน้ำเสียงแหบเครือและเยือกเย็น เสียงร้องของสัตว์อันหากินยามราตรีดังกรีดแหลม คิ้วขาวโพลนของชายชราขมวดขึง คลับคล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่งเร้นลับในราตรีนี้

    ทันใดนั้น ลมต่างกรูพัดกระหน่ำเป็นพายุร้ายอันน่าประหวั่น ต้นไม้โน้มเอียงราวจะหักโค่นเสียให้ได้ ผู้คนล้วนกระสับกระส่ายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ม่านตาข่ายดอกไม้แสนบอบบางรอบชายคาศาลาต้านทานแรงลมไม่ไหว ต่างขาดกระจายปลิวว่อนไปกับสายพระพาย(3) เหิมเกริม คีตกรยังคงดีดพิณไม้ตะเคียนทองและตีฆ้องตบกลองครึกครื้นขันแข่งกับเกรียวพายุอื้ออึง เช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่หลับตาพร่ำบทสวด ขมับตึงเครียดขมวดเกร็ง

    เปรี้ยง!

    สายฟ้าฟาดรุนแรงส่งประกายสว่างเจิดจ้าพร้อมสายฝนกระหน่ำหนัก ดังอื้ออึงข่มทุกสิ่งสรรพ เพลิงไฟลุกช่วงแดงฉาน ต้นไม้หักโค่นลงกับพื้น ผู้คนในศาลากรีดร้องตื่นตระหนก ฝูงนกแตกฮือสะบัดปีก พานบายศรีสูงตระหง่านพลันล้มกลิ้ง หมอนผ้าขิดรวมถึงอัญมณีมีค่าทั้งปวงอันเป็นของไหว้ปู่ย่าบรรพบุรุษต่างกระจัดกระจาย

    อันธิกาตกใจจะชักมือที่กำลังผูกด้ายกลับ แต่ผู้เฒ่าที่หลับตานิ่งกลับออกคำสั่งด้วยเสียงสงบนิ่ง

    “นิ่งเข้าไว้ จงนิ่งเข้าไว้!

    หญิงสาวเหลียวไปสบตากับเจ้าบ่าวของเธอ ดวงตาของเขายังคงนิ่งขรึม ไม่ฉายประกายความตระหนกสะทกสะท้านใดๆ

    “อย่าให้มีศรีเศร้า เจ้าแบมือไปให้ได้มณีโชติ โทษฮ้ายอย่ามาพาน มารฮ้ายอย่ามาผ่า” เสียงบทสวดสุดท้ายของผู้เฒ่าจบลงเมื่อเส้นด้ายดิบผูกมัดสนิทกับข้อมือของคู่บ่าวสาว ก่อนที่ร่างผอมเกร็งของชายชราจะชักกระตุกแรงและล้มลงกับพื้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน

     

    ม่านผ้าป่านขาวโปร่งประดับชายลูกไม้ในห้องหอพลิ้วพัดโบกเบาเมื่อสายลมเริ่มอ่อนกำลังลง

    ข้างนอกหน้าต่างมืดสนิท แต่แสงสว่างวาบจากฟ้าแลบแปลบปลาบทำให้อันธิกาเห็นเงามืดวูบไหวคล้ายเงาร่างของใครสักคนกำลังย่างเหยียบอยู่บนพื้นหญ้าอันเกลื่อนด้วยกลีบพิกุล แต่เมื่อเพ่งสายตาแล้วกลับไม่พบผู้ใด มือเรียวบางกำม่านไว้แน่น ดวงตานิ่งงันก่อนจะสะดุ้งสุดตัว

    “ยังกังวลอยู่หรือครับ ? คุณปู่ท่านไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่หมดสติไปเท่านั้นตามประสาคนอายุมากแล้ว ตอนนี้ท่านสบายดีขึ้นแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดคลุมนอนทอจากผ้าฝ้ายเดินเข้ามาใกล้อันธิกา

    หญิงสาวเหลียวกลับไปมองเจ้าบ่าวของเธอ ดวงตาสีอำพันใต้แพขนตาหนาของชายหนุ่มเป็นประกายฉ่ำหวานอย่างคนอารมณ์ดีเป็นนิจ ดวงตาแบบนี้นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครละเมอเพ้อหา ผมหยักศกของเขายาวกระเซอะกระเซิงระต้นคอ มัดรวบอย่างลวกๆ ไว้ตรงท้ายทอย ใบหน้ากร้านหนวดอ่อนโยนลงเมื่อหญิงสาวมองสบตา

    “คืนนี้มืดฟ้ามัวดินไปหมด เหมันต์ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นลางไม่ดี” เธอแหวกม่านออกไปอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับดึงม่านปิดเสีย แล้วนั่งลงบนเตียงข้างหญิงสาว

    “นี่คือวันแต่งงานของเรา อันคนดีของผมควรคิดถึงแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น”

    หญิงสาวอิงตัวลงในอ้อมแขนของชายหนุ่ม กอดเขาไว้แน่น ซึมซับความแข็งแกร่งจากแผ่นอกหนามาเป็นเรี่ยวแรงให้แก่จิตใจที่หวั่นหวาดของตัวเอง เหมันต์นิ่งงันไปในทีแรก แต่เมื่อเห็นท่าทางวิตกจริตอันน่าเวทนาของเจ้าสาว ทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มสวมกอดเธอพลางลูบเรือนผมหญิงสาวแผ่วเบาละม้ายปลอบโยน

    “ถ้าอันไม่สบายใจ มะรืนนี้เราไปล่องโขงฮันนีมูนกันเลยดีไหม ? แบบที่อันชอบไง ผมคุยกับลุงเจ้าของเรือไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้บอกเขาว่าจะเป็นมะรืนนี้”

    “ถ้าเราไปฉุกละหุก จะไม่ลำบากแกแย่หรือคะ ?” หญิงสาวถามเสียงอู้อี้ขณะซุกกายอยู่ในอ้อมกอดแกร่งของชายหนุ่ม เหมันต์หัวเราะเสียงแจ่มใสพลางจูบเรือนผมเธอเบาๆ

    “ไม่หรอก...ผมคุยกับเขาหลายครั้งแล้ว คุณก็รู้ว่าผมล่องน้ำโขงด้วยเรือของเขาออกบ่อย ลุงแกไม่ว่าหรอก”

    ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเบาใจได้เลย อันธิกายังจดจำเหตุการณ์อันเป็นลางวิบัติของวันนี้ได้อย่างแม่นยำ ปานว่ามันได้ผนึกในความทรงจำของเธอไว้แล้ว ภาพบายศรีที่คว่ำลงระเนระนาดยังติดตาคอยหลอกหลอนสั่นคลอนหัวใจหญิงสาว

    “มันคงไม่ได้เป็นลางร้ายต่อชีวิตคู่ของเราใช่ไหม ฉันมีลางไม่ดีจริงๆ ฉันกลัวว่าพรุ่งนี้ตื่นมาจะ....”

    “อันธิกา...ฟังผมนะ” ชายหนุ่มรีบตัดบทก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ “อย่ากลัวอะไรทั้งนั้น ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณ”

    เหมันต์ประสานสายตาหญิงสาวอย่างแรงกล้าเพื่อให้เธอมั่นใจ

    อันธิกากอดคนรักไว้แน่น สัมผัสได้ถึงหายนะสีดำที่กำลังกางปีกมาโอบกอดเธอ ความหวั่นกลัวเข้าเลาะเลียบกัดกินหัวใจของหญิงสาวอย่างเหี้ยมเกรียม ได้ยินเสียงนกแสกในสายลมแว่วมาจากที่ไกลลิบลิ่ว ราวกับเสียงเพรียกเชื้อเชิญของใครสักคนจากที่แสนไกล

     

    นกแสกตัวหนึ่งกรีดร้อง มันบินฉวัดเฉวียนไปมาเหนือฟ้าสีเงิน ก่อนจะเกาะตรงยอดกิ่งไม้ไร้ใบ

    ราษราตรีนี้ฟ้ามืดครึ้ม แสงเดือนแสงดาวดับหาย เจ้านกกลางคืนขยับตัวไปมา ลมเย็นยะเยือกที่โบกพัดมาระลอกหนึ่ง ทำให้ไม้ใหญ่สั่นไหวส่งเสียงหวิวหวีดคลับคล้ายสำเนียงโหยหวนของภูตผีปีศาจ

    สายน้ำโขงยามนี้เป็นสีเงินเชี่ยวกราก มันส่งเสียงคำรามซ่าซัดโขดหินเกาะแก่ง แสงสะท้อนจากระลอกคลื่นอาบให้เห็นชะง่อนหินผาสูงชันตั้งอยู่วังเวง นอกจากเรือหาปลาเล็กๆ ลำหนึ่งจอดร้างเกยฝั่งก็ไม่มีสรรพชีวิตอื่นใด

    วูบหนึ่ง กลิ่นหอมซ่านของดอกจำปีพลันอบอวล  ความมืดในคืนแรม 14 ค่ำ(4) ชอนไชกลืนกินทุกสิ่งสรรพ ราวกับปีกดำของอีกาได้คลี่กางบดบังทั่วสถานจนแลไม่เห็นอื่นใด เห็นเพียงแสงวับแวมของตะเกียงดวงหนึ่งบนชะง่อนหินผาสูงชันซึ่งยื่นออกมาสู่สายน้ำโขงไหลเชี่ยว

    ตะเกียงดวงนั้นวูบไหวตามแรงอื้ออึงของสายลมห่าใหญ่คล้ายจวนจะดับ แสงนวลจากดวงไฟอาบไล้ให้เห็นร่างหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งถือตะเกียงไว้ในมือเรียวบาง

    เจ้านกแสกขยับดวงตาแวววาวจ้องมอง ใครกันหนอก้าวย่างมายังสถานที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวร้างผู้คนในเวลาเช่นนี้ ?

    ร่างเปราะบางยืนลำพังตรงชะง่อนหิน แรงลมกลิ่นจำปีสะบัดชายกระโปรงสีดำของเธอให้พลิ้วไหวราวกับกลุ่มหมอกเลือนรางสีราตรี ผมของเธอยาวจรดบั้นท้ายเป็นสีดำสนิทกลืนกับความมืด  นัยน์ตาของเธอเป็นสีราตรี เพียงสบมอง ก็รู้สึกราวกับถูกฉุดกระชากให้ดิ่งลึกในความมืด ที่น่าพิศวงคือแวววูบไหวแสนเศร้าที่ซ่อนในก้นเหวลึกของดวงตา

    เจ้านกแสกที่แอบมองสั่นสะท้าน ไอหนาวเยือกของความเงียบเหงาเข้าโอบล้อม ดวงตาของนกน้อยหม่นหมอง ความสิ้นหวังกัดกร่อนจิตวิญญาณ จนไร้เรี่ยวแรงกระทั่งจะกางปีกบิน มันส่งเสียงโหยหวนราวตัดพ้อต่อโลกนี้ ทว่า...มีเพียงความเงียบน่าชิงชังที่ตอบกลับมา

    เจ้านกน้อยที่น่าสงสารพลันทิ้งร่างร่วงลงสู่สายน้ำแห่งหายนะเบื้องล่าง มันลอยคอกลางวังวนเชี่ยวกรากอยู่นาน

    ทันใดนั้น มือขาวซีดข้างหนึ่งพลันผลุบโผล่พ้นคลื่นน้ำคว้าร่างนกแสกไว้ในกำมือ บีบเค้นนกตัวน้อยไว้แน่น มันได้แต่ส่งเสียงแหบเครือออกมา ก่อนจะจมหายไปใต้วังวนน้ำลึก ทิ้งเพียงขนสีราตรีปลิวฟุ้งในอากาศ

     

    เสียงสวดแผ่วเบาของพระภิกษุผู้มารับบิณฑบาตแว่วกังวานในยามเช้าอันสงบ

    เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังลั่น อันธิกาพลิกหน้าไปมาบนหมอนอย่างรำคาญใจ ห้องนอนของเธอเป็นมุกที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ตลอดผนังทั้งสามด้านมีบานหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานเรียงติดกัน แต่ละบานล้วนเปิดกว้างให้ลมโกรกเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ตะวันยามเช้าโรยแสงผ่านเข้ามาทาบเงาแดดลงบนพื้นผนังไม้สัก

    เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด มันดังต่อเนื่องกันหลายสิบรอบแล้ว อันธิกาลืมตาตื่นงัวเงียขึ้นมา ควานมือหาโทรศัพท์จากใต้หมอนของเหมันต์แล้วกดรับสาย ยังไม่ทันเอ่ยทัก เสียงฝากข้อความจากปลายสายก็ดังขึ้นเป็นเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาว

    “เหมันต์ ทำไมคุณถึงไม่รับสายฉันเลย ? ฉันโทรหาคุณทั้งวันเลยนะคะ”

    อันธิกากดวางสายทันที ก่อนจะปาโทรศัพท์ลงบนฟูกแล้วดึงตัวเองลุกจากที่นอน

    เหมันต์คงตื่นนานแล้วจึงไม่เห็นเขาอยู่ในห้อง ดวงตาสีน้ำผึ้งของหญิงสาวขุ่นมัว...

    อันธิกาในชุดนอนแขนยาวสีขาวตัวหลวมโคร่งลุกลงจากเตียงแล้วก้าวพรวดไปแหวกม่านหน้าต่างออก ท้องฟ้าภายนอกเป็นสีแดงฉานราวกับปีศาจสะบัดพู่กันเปียกแต้มสีเลือดกระจายไปทั่วจนน่าสะพรึง

    รอยขัดเคืองผุดบนใบหน้านวลใส เมื่อมองลงไปยังลานกว้างซึ่งพิกุลขนาดใหญ่ยืนต้นให้ร่มเงาทิ้งดอกเกลื่อนใบเต็มลาน แลเห็นเหมันต์กำลังช่วยคุณแม่ของเธอประคองสำรับอาหารสำหรับตักบาตรพระภิกษุรูปหนึ่งอยู่

    ภิกษุรูปนั้นให้พรแก่อุบาสกอุบาสิกาแล้วจากไป อาจจะด้วยลำแสงอ่อนจากละอองแดดยามเช้าที่ทอแสงอาบ จึงละม้ายว่าผ้าจีวรสีย้อมฝาดนั้นมีรัศมีบางบางชวนพิศวง ภิกษุรูปนั้นทอดสายตาขึ้นมายังหน้าต่างห้องของอันธิกาเป็นเวลาชั่วอึดใจ ก่อนจะอุ้มบาตรย่ำเท้าเปลือยเปล่าลงพื้นขังน้ำจากไปอย่างสำรวม

    อันธิกาเอียงศีรษะอย่างนึกสงสัย ก่อนจะตัดใจชักผ้าคลุมนอนสีขาวไข่มุกออกมาคลุมร่าง แล้วผลักประตูห้องนอนออกไปที่ชานระเบียงกว้าง  

    “ยายอันตื่นเช้านะวันนี้ สงสัยจะมีพายุอีกระลอกแล้วสิ” หญิงวัยกลางคนหยอกลูกสาวอย่างรักใคร่ ขณะหอบขันเงินใส่สำรับอาหารเดินขึ้นบันไดมาหยุดที่ซุ้มไม้ตั้งหม้อดินและกระบวยน้ำ นางสวมซิ่นสั้นครึ่งน่องเข้ากับเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหนาแขนยาวติดกระดุมผ่าหน้า และเกล้ามวยเรียบง่ายไว้ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นดวงหน้าอิ่มเอิบเป็นนิจ

    “แต่ก็ตื่นสายกว่าผมนะคุณแม่ ดูสิครับ...ยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าด้วยซ้ำ” เหมันต์ยกถาดสำรับตามเข้ามา ดวงตาสีอำพันแพรวพราวจ้องมองหญิงสาวอย่างหยอกเย้า

    อันธิการอจนแม่เดินลับไปในครัวจึงเอ่ยขึ้นเสียงหยัน

    “คนรักของคุณฝากข้อความมาตามแต่เช้า อย่าลืมโทรกลับหาหล่อนล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มไม่ให้สั่น ตีสีหน้านิ่งอย่างคนเย่อหยิ่งเกินกว่าจะลดตัวลงไปรบราแย่งชิงกับใคร

    รอยยิ้มสว่างไสวของเหมันต์จางหายไป

    “ผมขอโทษ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมสัญญา”

    “สัญญาครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ...ห้าร้อยสิบหกหรือเปล่า ?” อันธิกาประชด ถ้อยคำนั้นเหมือนคมมีดปักแทงใจดำชายหนุ่ม

    “ในอดีตผมเคยผิดต่อคุณ แต่วันนี้ผมไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะอัน คุณก็รู้” เหมันต์ทอดสายตามาที่หญิงสาวอย่างขอความเห็นใจ

    อันธิกาเหลือบตามองเขาพลางยิ้มหยัน อยากจะเอ่ยถ้อยคำรุนแรงให้เขาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับตลอดมา ตลอดเวลาที่รักกัน เธอต้องทนนิ่งเฉยกับบรรดาผู้หญิงมากมายไม่รู้กี่คนของเขา  

    “อันธิกา...ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับผมเลย อันเป็นคนเดียวที่ผมรัก”

    เธอเคยร้องไห้ เจ็บร้าวสะอึกสะอื้นเหมือนคนบ้า...แต่นั่นนานมาแล้ว นานเสียจนหญิงสาวลืมความรู้สึกในยามที่น้ำตาไหลรินอาบแก้ม รอยบาดลึกไม่มีวันหายไป มันกลายเป็นเพียงรอยแผลเป็นอันไร้ความรู้สึก

    ทว่าเมื่อเห็นดวงตาเศร้าๆ ของคนที่อยากปรับปรุงตัว ทั้งที่ยังรู้สึกแค้นเคืองเหลือเกิน แต่เธอกลับโกรธไม่ลงสักนิด

    “ฉันจะทำโทษไม่ให้คุณกินข้าวสักสามมื้อ”

    “คาดโทษแบบนั้นไม่ได้เสียแล้วล่ะลูก” แม่ซึ่งไม่ได้รู้เบื้องหลังมาก่อน เดินถือสำรับจากในครัวเข้ามาได้ยิน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสดใส “อาหารพวกนี้ เหมันต์เป็นพ่อครัวทำเองทั้งนั้น”

    อาหารบนโต๊ะกำลังอุ่น มีควันหอมลอยกรุ่นเป็นไอชวนมอง ผัดเผ็ดปลาบึกโขลกน้ำพริกสีแดงจัดจ้านโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ไก่ย่างอบฟางสีขมิ้นส่งกลิ่นหอมฉุนเครื่องสมุนไพร ตั้งยั่วยวนเคียงข้างกับแกงผักหวานใส่เห็ดฟางหอมกลิ่นใบแมงลัก

    “คุณแม่ชักจะหลงลูกชายคนใหม่จนลืมอันเสียแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพลางทำหน้าบูด

    “อย่ามัวน้อยใจเลย รีบมากินเร็ว ประเดี๋ยวจะเย็นหมด” หญิงวัยกลางคนนั่งพับเพียบว่าขณะจัดช้อนส้อมและจานอาหารให้แก่ลูกสาวและลูกเขย “แล้วจะได้ไปดูของขวัญที่แขกเหรื่อเอามาฝากกัน กองเบ้อเริ่มอยู่เต็มห้องเลย”

    “มีของอย่างหนึ่งที่คุณต้องชอบแน่ๆ” เหมันต์ยิ้มขณะกุลีกุจอคลานขึ้นไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย ช่วยแม่ยายจัดแจงอาหารบนโต๊ะอย่างประจบประแจงจนน่าหมั่นไส้

    อันธิกาเพ่งพินิจสามีของเธอด้วยความรู้สึกขมขื่นปนหวานฉ่ำ ละอองแดดอ่อนๆ สาดจับใบหน้าหยาบกร้านอันเต็มไปด้วยไรหนวดและเคราของเขา เธอรักจมูกโด่งเป็นสันราวกับรูปสลัก หลงใหลริมฝีปากอันมีรอยยิ้มขรึม และชอบเฝ้าเพ่งพิศดวงตาคมเข้มใต้แพขนตาหนาซึ่งเป็นประกายน่าพิศวงราวกับอัญมณีสีอำพันที่ชวนมองไม่รู้เบื่อ

    ทั้งหมดอันประกอบเป็นเขา...คืออาวุธร้ายแรงที่ทำร้ายหัวใจหญิงสาวมานับไม่ถ้วน

    “เร็วเข้าสิอันธิกา...”

    หญิงสาวสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกกังวานหวานปานระฆังใส อันธิกาขนลุกวาบ เธอเหลียวซ้ายแลขวาจนทั่ว  

    ...นั่นมิใช่เสียงเรียกของแม่และเหมันต์

    หากแต่เป็นเสียงเพรียกขานของสรรพสิ่งไร้ตัวตนอันสะท้อนกังวานไปมาราวกับไม่รู้สิ้น

     

    1 ลับแล  คือ เครื่องกั้นหรือบังตา เป็นแผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขาตั้ง พับและยกย้ายได้ มักตั้งตรงช่องประตูเพื่อบังตาคนภายนอกไม่ให้เห็นภายใน

    2 ลายขิด หรือ ผ้าขิด เป็นศิลปะการทอผ้าของชาวอีสาน ซึ่งจะใช้ไม้งัดเส้นด้ายแนวยืนให้สูงขึ้น และสอดเส้นด้ายแนวพุ่งเข้าไปประสานเป็นลวดลายนูน

    3 พระพาย แปลว่า สายลม โดยพระพายเป็นเทพเจ้าแห่งลมและพายุ มีหน้าที่ให้ลมแก่สามโลก

    4 แรม 14 ค่ำ เป็นการนับคืนตามปฏิทินจันทรคติ ในคืนนี้ดวงจันทร์เป็นเสี้ยวเล็กที่สุด หรืออาจจะไม่เห็นดวงจันทร์เลย

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×