ครบรอบ ๑๐ ปีแล้ว อ๊ะๆ เราไม่ได้หมายความถึงอายุแต่อย่างใด แต่เวลาที่กล่าวถึงในที่นี้คืออายุการเริ่มต้นงานเขียนของเรา ซึ่งในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมาก็ถือว่า ครบรอบ ๑๐ ปีพอดี
"อะไร ตั้ง ๑๐ ปีมีผลงานสู่สายตาประชาชีแค่เนี้ย"
น่านสิ เป็นคำท้วงติงที่เราเองก็ยังนึกด่าตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมาคำนึงถึงเส้นทางชีวิตตัวเองที่มันก็ไม่ได้สุขสบายเลย (ก็ไม่ได้มีป๊ะป๋ารวยจากหุ้นสักเจ็ดหมื่นล้านนี่เนอะ) แล้วยังการเติบโตของช่วงวัยหลายๆ อย่าง ก็ทำให้เราพอให้อภัยกับความต้วมเตี้ยมในงานเขียนของเราได้แฮะ
เริ่มต้นที่วัด
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า แมวซ่าแสนโฉดตัวนี้ มีผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ผูกพันอยู่กับ "วัด" เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๐ ถูกบังคับไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เกิดความประทับใจบรรยากาศเอามาปั้นเป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับอวสานโลก นับเป็นผลงานแรกในชีวิตที่เขียนจบและทำได้สมบูรณ์ จากนั้น ฉากวัดที่เงียบ สงบ เย็น จะถูกนำมาใช้หลายครั้ง จนระยะหลังๆ มานี้เองที่แมวซ่าขยับมาเขียนเรื่องแนวฆราวาส...และสุดท้ายก็ละทิ้งโลกุตรธรรมไปเลย (มิน่า...ชีวิตถึงอับเฉาจนทุกวันนี้)
ล่าสุด เมื่อสงกรานต์ ๒๕๕๐ เราได้เดินทางไปวัดป่าแห่งนั้นอีกครั้ง อะไรหลายๆ อย่างที่นั่นเปลี่ยนไปมาก จนอดใจหายไม่ได้ว่า....สิบปี....มันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน......
เขียนแต่เรื่องสั้น
ในช่วง ๓ ปีแรก ผลงานมีแต่เรื่องสั้น จนปัจจุบันนี้ก็นับรวมได้แค่ ๑๐ กว่าเรื่อง (ตกปีละ ๓ เศษๆ) แต่ถ้านับรวมอีกนามปากกา (เราไม่ได้ใช้ "วิฬารี" อย่างเดียวเน้อ) ก็คงใกล้ๆ ๒๐ เรื่อง ที่ภาคภูมิใจที่ซู้ดดด คือ เคยมีเรื่องนึงได้ลง "ขายหัวเราะ" ได้เงินเกือบสองพันสำหรับเด็กมัธยมนี่ก็ดีใจแล้ว
โดดเดี่ยว อ้างว้าง พะว้าพะวัง
ปีแรกของการเป็นนักศึกษา การใช้ชีวิตในหอพักนั้นไม่เป็นที่คุ้นเคยเอาเสียเลย เป็นเวลาเกือบปีที่ไม่มีผลงานเขียนออกมาสักเรื่อง จนเกือบสิ้นสถานะเฟรชชี่ นิยาย "เหมายัน" จึงก่อกำเนิด เพราะหวนถึงความสดใสของวัยมัธยมและความลี้ลับแบบการ์ตูนญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีเนื่องจากไม่ได้วางโครงเรื่องที่ส่งปมสร้างพลังที่ดีพอเอาไว้ นิยายเรื่องนี้จึงสะดุดกึกและโดนดองเค็มมาจนบัดนี้ "-_-"
จากนั้นก็เขียนนิยายเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีกแต่ใช้ฉากปัจจุบันอีกเรื่องนึง แต่ไม่เอา...ไม่พูดถึงดีกว่า หลังจากนั้นนามปากกาวิฬาร์ฯ ก็ไม่มีผลงานอีกเลยเป็นเกือบ ๓ ปี!!!! ไม่มีสาเหตุ...จู่ๆ ก็ไม่มีแรงบันดาลใจเขียนซะงั้น อีกทั้งการเรียนก็โหมหนัก และมีปัญหาหยุมหยิมมากมาย จนทำให้คิดว่า 'ต่อไปนี้...เราคงเป็นได้แค่นักอ่านและกัดนิยายเท่านั้นละมั้ง' ตอนนั้นเราเองก็ปากจัดขนาดหนัก กัดเขาไปทั่วไม่ว่านักเขียนเล็กหรือนักเขียนใหญ่ (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่)
เกิดใหม่อีกครั้งเพราะอาจารย์
อาจไม่เป็นการเกินเลยที่จะพูดว่า นามปากกาวิฬารีจะไม่มีทางโงหัวขึ้นมาอีกได้ ถ้าไม่ใช่ได้อาจารย์ชัยวัฒน์ บุนนาค (ขอออกชื่อเต๊อะนะคะ 'จารย์) มาเป็นผู้จุดประกาย ด้วยการประกาศิตการบ้าน "เขียนนิยาย ๓๐ หน้ากระดาษเป็นการสอบไฟนอล"
จ๊าก!!!!!!!! >>0<< +_+
ปิดเทอมเล็กของเดือนตุลาปีนั้นทำให้เราต้องปั่น "ลำเนาสายฝน" ออกมาส่งอาจารย์เพื่อเอาคะแนนจนได้ และก็ทำให้แมวเหี่ยวๆ ตัวนี้เพิ่งรู้ตัวว่า..เราก็ยังพอเขียนอะไรได้นี่นา... และยังคำที่อาจารย์บอก ซึ่งในตอนนั้น ยัยนกน้อยก็อยู่ด้วย คงจะจดจำกันได้ดี
"อย่าได้ทิ้งความฝันตรงนี้ไป พวกเธอมีความสามารถกันทั้งนั้น"
จากจุดเล็กๆ ก็ทำให้แมวซ่าที่ตะลอนกัดชาวบ้านไปวันๆ เหลียวมามอง "ความฝัน"ตรงนี้ที่เคยหลงลืมไปนานอีกครั้ง
และก็เพราะเรียนกับ อ.ชัยวัฒน์ ในเทอมต่อไปนี่เอง ในเทอมต่อมาจึงได้คลอดนิยายแนวอวกาศ "ริก-นาร่า สัญญาจักรวาล" (ยังไม่จบ) ซึ่งในคราวนี้ทำให้เราซาบซึ้งกับความน่าหลงใหลของงานเขียนประหนึ่งยาเสพติด และโชคดีว่าได้เขียนนิยายเรื่องนี้ในช่วงหลังสอบเสร็จเลยมีเวลาว่างเยอะมาก แต่มันก็เป็นเพียงก้าวหนึ่ง เพราะยังมีบททดสอบอีกมากรออยู่...หลังจบการศึกษา
หักปากกา
มีครั้งนึงละ ที่ตั้งใจว่าจะละลืมความชอบตรงนี้ จะทำงานทำการเพื่อมุมานะสร้างฐานะอย่างชาวบ้านคนอื่นเขา พูดง่ายๆ ครั้งหนึ่งเราก็เคยเลือกจะ "หักดินสอ"ตัวเอง
(เราเขียนนิยายโดยใช้ดินสอเป็นหลัก ปากกาเนี่ย....เอามาเป็นสำนวนเท่านั้นแหละ)
แต่ผ่านไปแค่ประมาณเกือบ ๒ ปี ทั้งๆ ที่คิดว่า จินตนาการหดหายแล้ว ความสามารถในการเขียนก็น่าจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่....เมื่อได้มาอ่านนิยายแนวรักใสๆ ของสำนักพิมพ์แจ่มใสเรื่องนึง มันก็กลับจุดประกายให้เขียน "มากับ...คำสัญญา" เรื่องสั้นแค่ ๕ ตอนจบได้ อันที่จริงนิยายสั้นเรื่องนี้เป็นพล็อตที่อยู่ในหัวมานานมากกกกก แต่มาได้แรงส่งที่โช้ะเด๊ะจากการอ่านนิยายที่เราเคยปรามาสว่าไร้สาระนี่เอง
จากจุดนั้น...มันก็เหมือนการได้ปลุกวิญญาณตัวเองอีกครั้ง เรียกว่านี่คือการ "เอากาวมาต่อติดปากกา(ดินสอ)ที่เคยหักทิ้งให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง"
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เราเองเพิ่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการฝ่ายซ้ายและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเมื่อมาเห็นบ้านเมืองอยู่ในกระแสการเมืองที่สูงมาก เพราะเต็มไปด้วยม็อบเชียร์ vs ม็อบไล่นายกฯทักกี้ ความรู้สึกเหล่านั้นจึงปะทุให้เราเขียน "ผู้หญิงของกาลเวลา"ออกมา ซึ่งอันที่จริงก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบ แต่ใช้เวลาลองผิดลองถูกหลายเดือน สุดท้ายมันก็จบลงในช่วงการรัฐประหาร ๑๙ กันยาจนได้
แต่เขียนเรื่องนี้เหมือนได้หักหลังคนอ่าน เพราะเท่าที่รู้ โดยทั่วไปพระเอกมักจะเลว โฉด หยาบกระด้าง ส่วนพระรองมักเป็นคนแสนดี อ่อนโยน แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้ของเรามันผกผันกับสูตรพวกนั้น เลยทำให้คนอ่านบางคนต้องได้ลุ้นในฉากจบเรื่อง ^_^
ครบรอบหนึ่งทศวรรษ แล้วไงต่อ???
อืม...นั่นสิ พอหลังจากนี้แล้วก็ยังไม่มีผลงานอะไรเลย เคยสัญญากับมิตรรักนักอ่านว่าจะจบ "เหมายัน" แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริงต่อติดยากกว่าที่คิดไว้แฮะ เลยพักไว้ก่อน (น่าน....ชิ่งหนีซะงั้น) ต้องขอโทษคนที่รอมากๆ เพราะเราเป็นนักเขียนมือสมัครเล่นที่ไม่มีวินัยเลย ถ้าใจไม่อยากเขียน เอาปืนมาจ่อยังไงก็เขียนออกมาไม่ได้ มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของ "เหมายัน" ที่จะจบในเวลานี้กระมัง
ปลอบใจตัวเองกับเจ้า little bird ว่า "ขนาดนักเขียนที่เกือบได้รางวัลโนเบล ยังเขียนนิยายไม่จบเลย เขียนได้เป็นเรื่องตลก เขียนไม่จบเป็นเรื่องธรรมชาติ" 55555 (แต่นักเขียนคนที่เราพูดถึงนั้นเขาโดนพิษการเมืองจนถูกขังคุกเลยเขียนไม่จบ ส่วนไอ้เรานี่สิ....ง่า....)
และในช่วงครบรอบ ๑๐ ปีที่ขีดๆเขียนๆ มานี้เอง มันก็มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเขียน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากหรอก...แต่มันกัดกร่อนลึกๆ ข้างใน
เขียนเพื่อเยียวยา
ในช่วงนับจากต้นปี 2550 (ก็ปีนี้แหละเน้อ) มันมีความรู้สึกบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง อาจเพราะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม....มั่วไปหมด ทำให้แมวซ่าตัวนี้มีอาการหมองหม่นยาวนานและกัดเซาะเข้าไปถึงเบื้องลึก น้ำตามาจากไหนไม่รู้...แต่มันสามารถไหลพรูออกมาได้ทุกครั้งที่มีเรื่องกระทบกระเทือนแค่เพียงนิดเดียว หยุดตัวเองไม่ได้ และสิ่งนี้ยังลามมาถึงกายภาพ ทำให้การนอนหลับพักผ่อนที่ควรพอเพียงบางทีถูกรบกวนไปอย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปไม่เห็นความสดใสที่รออยู่ข้างหน้า....มันก็คือกรงขังทางความคิดแง่ลบที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อทำร้ายตัวเราเอง เป็นเวลาประมาณ ๓-๔ เดือนที่ทรมานกับอาการแบบนี้ จนคิดว่าเราควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า...โลกนี้ยังรื่นรมย์...ชีวิตยังมีความหมาย เพราะเริ่มรู้ตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะใกล้เคียงกับอาการที่เขาเรียกว่า "โรคซึมเศร้า" (แต่จากการพบผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเมื่อเร็วๆนี้ก็ทำให้ทราบว่า มันยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคขนาดนั้น)
พอดีในต้นเดือนมิถุนายน อาการนั่นคลายลงแล้ว และได้เจอกับ little bird เราจึงคิดปรึกษาพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งที่คิดโครงไว้มานาน อยากรู้ว่ามันจะแป้กไหม แต่พอแค่เกริ่นว่า "เป็นภาคต่อของเรื่องริก-นาร่า แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน" เจ้าหล่อนก็ส่ายหน้าพรืด
"งั้นมันก็คงแป้กเหมือนกันนั่นล่ะ"
โห....หยามครับหยาม วันนั้นเองจึงหยิบต้นฉบับเก่ามาปัดฝุ่น แล้วก็จัดการเดบิวมันซะวันนั้นเลย ก็ไม่น่าเชื่อ...เขียนได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว มันก็เหมือนกับเราได้เจอสิ่งที่มาเยียวยาอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นเกือบครึ่งปีนั่นได้สักที จะว่าไปก็ต้องขอบใจเจ้านกน้อย เพราะคำปรามาสของหล่อนแท้ๆที่ทำให้แมวตัวนี้มีแรงฮึด (หล่อนจะดีใจไหมเนี่ย) จินตนิยายเรื่องนั้นก็คือ Blend ซึ่งก็ไม่รับรองว่าจะจบบริบูรณ์ได้อีกเช่นเคย และก็ไม่คาดหวังว่าจะต้องมีคนมาคอมเมนท์เยอะๆเหมือนนักเขียนท่านอื่น ก็อย่างที่บอกแล้ว....เรารู้ดีถึงคุณค่าของนิยายของเราเอง มันคือการเขียนเพื่อเยียวยาตัวเราเองมากกว่าอื่นใด
สำหรับ Blend มันก็คือนิยายฝันเฟื่องที่คนเขียนคิดว่าพอถึงคราวคลายปมหลัก มันจะต้องแป้กแน่ๆเลย แต่ยังไงเสียก็คนมันอยากเขียนนี่นา และยังเป็นนิยายที่คิดจะใส่เรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง สงคราม และความขัดแย้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเคยสนใจศึกษาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำออกมาได้ดีเท่าที่คาดหวังเอาไว้ไหม ก็คงต้องดูกันต่อไป
นี่ล่ะ....10 ปีที่ยาวนานพร้อมกับการเติบโตของคนๆนึง
และความพยายามที่ไม่เคยหยุดนิ่ง....ก็คงจะดำเนินต่อไป....ตราบเท่าที่ยังเขียนได้ และเหนืออื่นใดคือ เรายังมีความ 'อยากเขียน'เป็นไฟอยู่ในหัวใจ
ความคิดเห็น
สุดท้ายนกน้อยตัวนี้ก็ทำให้แมวซ่าสามารถจับปากกามาเขียนฝันต่อได้ล่ะกัน..จะบอกว่าตรงตามแผนที่วางไว้ก็ไม่เชิง เพราะตอนนั้นไม่ได้ฟังบทย่ออ่ะ...เรียกว่า.."ดัก" ได้ผลดีไหมล่ะ..กริก กริก...
หลังจากที่คุยกันคราวนั้น..นกน้อยก็คิดว่างานใหม่ของแมวซ่าน่าจะเป็นรูปเป็นร่างในเวลาไม่นานแน่..แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วปานติดจรวดเช่นนี้...
ก็อย่างที่เคยคุยกันล่ะนะ..เพื่อน...เออ..ว่าแต่นกน้อยคบกับแมวซ่ามานานเท่าไหร่แล้วนะ...1..2..3..4..5..6 หกปีใช่ป่ะ ปีนี้ก็ปีที่หกล่ะเนอะ..ก็ถือได้ว่าเห็นฝันของกันและกันมานานพอสมควรล่ะนะ..
เนื่องในโอกาสที่แมวซ่าจับปากกา(ดินสอ) มาครบสิบปี..นกน้อยก็ขอให้แมวซ่าสามารถวาดฝันต่อไปได้อีกนานตราบเท่าที่แมวซ่ายังคงมีฝันนะ...
กลับมาเรื่องเดิมก่อนที่จะลืม...นกน้อยเคยบอกแมวซ่าแล้วไงว่า..อาการที่เป็นอยู่น่ะเค้าเรียกว่า "เหงา" วิธีแก้ก็ง่ายมาก ๆ เลย...หาคู่ซะ..หรือไม่ก็ไปเที่ยวกัน
ตอนนี้นกน้อยกำลังจะหายานยนต์...อีกไม่นาน เราสองคนก็หนีเที่ยวได้แล้วล่ะ...เตรียมตัวเตรียมใจเตรียมบทสวดมนต
เหงากับเศร้าเป็นอารมณ์เกี่ยวเนื่องกัน แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกันเสียทีเดียว
ยัดเยียดข้อสรุปผิวเผินว่าเหงาให้ฉันอยู่เรื่อยเชียว
คุณงายเขียนเรื่องยาวไม่ค่อยจบ เลยหันมาเขียนเรื่องสั้นถึงได้จบไปหลายเรื่อง แต่เรื่องสั้นก็ค่อยๆ ยาวไปเรื่อยๆ ตามรายละเอียดที่อยากเขียน
ชอบคำพูดของอาจารย์คุณวิฬาร์นะคะ
PS. คำถามจะนำมาซึ่งคำตอบ
ครูขอให้กำลังใจเอ็ง เจ้าวิฬารีเอ๋ย ครูยังคงสอนวิชาประวัติศาสตร์การเดินทางและการค้นพบ(ตัวเอง) ว่างๆเมลล์มาคุยกับครูบ้างที่ wysp@tu.ac.th