ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #26 : ไกรทอง ตอนที่22 (แก้ไข)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.34K
      42
      3 เม.ย. 57


    ช่วงบ่ายของวันนี้บริเวณริมตริ่งของแม่น้ำท้ายหมู่บ้าน ปรากฎร่างสองหนุ่มต่างวัยที่พากันลัดเลาะเดินกันไปเรื่อยๆตามเส้นทางเดิน   คนหนึ่งเดินนำหน้าเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง  ผิวออกคล้ำนุ่งโจงกระเบนเปลือยท่อนบนบ่าขวามีแหพาดอยู่   ส่วนคนที่สองนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตางดงาม  ผิวขาวผ่อง   มีฆ้องคาดเอวเดินตามหลัง


    เพราะถูกเคียวบาดมือระหว่างเกี่ยวข้าวเมื่อวาน ทำให้วันนี้พี่ชาละวันไม่สามารถไปช่วยทำงานที่นาได้   พอจะให้กลับไปช่วยงานที่บ้านใหญ่  ทางฝ่ายผู้ใหญ่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธแถมยังกำชับห้ามให้คนเจ็บทำงานจนกว่ามือจะหายดี....ครั้นพอเขาจะผลักไสไปฝากผีฝากไข้กับพี่นัน   อีกฝ่ายดันเสือกรู้ทันรีบผลักหน้าที่ส่วนนี้มาให้กับเขาแบบไม่ทันตั้งตัว   แล้วลากคอทองดำแจ้นไปเกี่ยวข้าวที่นากันตั้งแต่ไก่โห่   แต่ก่อนไปยังมีหน้ามาบอกกล่าวเขาอีกว่า ‘ดูแลเพื่อนข้าให้ดีๆนะน้องชาย  เกี่ยวข้าวแล้วเสร็จจะรีบกลับมา’


    ซึ่งเขายอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกหูอื้อ  ตาลาย  อยากกระโดดถีบใส่ไอ้สองคนที่เดินกอดคอหัวเราะเยาะชอบใจกับการสามารถทำเรื่องแกล้งคนได้สำเร็จ   โดยไม่ใส่ใจถึงความลำบากใจของเขาที่มีต่อพี่ชาละวันเลยสักนิด


    ‘เหมือนกับมีเชือกล่องหนเส้นใหญ่ผูกยึดเขาไว้กับชายหนุ่ม  ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจหนีพ้นได้เลย’


    ทำไมกันนะ   อุตส่าห์พยามหาทางหลีกเลี่ยงออกห่างมากเท่าใดก็มักจะเหตุดึงรั้งให้เข้าไปชิดไปใกล้จนต้องรู้สึกลำบากใจ   ทั้งความรู้สึกของตัวเองกับความรู้สึกของตระเภาทอง


    คนงามใครบ้างไม่อยากจะมอง  ไม่อยากจะเข้าใกล้   เพราะขนาดตระเภาแก้ว ตระเภาทองเป็นสาวงามที่ถูกกล่าวขาน   ก็ยังงามไม่ถึงครึ่งของพี่ชาละวันเลยด้วยซ้ำไป 


    ...แต่ลางสังหรณ์ส่วนลึกมักจะบอกกับเขาอยู่เสมอ   ในความงามเหนือผู้คนนี้มันมีแต่อันตรายที่ต้องควรระวัง


    อาจด้วยเพราะความงามคล้ายคลึงกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมประหลาด   เที่ยวคอยหลอกล่อให้หมู่ภมรหลงเข้าไปติดกับดัก   ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับความงามของดอกไม้เสียแล้ว


    ... นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลาไม่ให้เผลอใจหลงใหลไปกับเสน่ห์ของอีกฝ่าย ...ถึงแม้หลังๆมานี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าจะสามารถต้านทานไปได้อีกนานแค่ไหน


    ส่วนชาละวันที่เดินตามหลัง   มองชมนก ชมไม้  ชมปลาริ่มตลิ่งไปเรื่อยเปื่อย  แสร้งทำเป็นไม่รู้ทันความหนักใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า    ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่…ถ้ามีปัญญาหนีได้ก็หนีไป เพราะเขามั่นใจว่ามีแรงมากพอจะลากอีกฝ่ายให้กลับมาหาเขาอีกอยู่ดี


    เดินเงียบๆกันมาจนชายหนุ่มเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย    เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาพวกเขายังไม่ได้พูดคุยกันสักครึ่งคำ  


    “น้องไกรทองเหตุใดเราถึงต้องหอบแหถือฆ้องไปจับปลาเสียตั้งไกลแถวท้ายหมู่บ้าน  ไม่จับปลาที่ท่าน้ำหลังบ้านเราละจ๊ะ   จะได้ไม่เสียเวลาเดินเท้าให้เหนื่อยแรง”


    ไกรทองกลั้นใจตั้งสติ  ระงับอารมณ์ตื่นกลัว  แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงให้ฟังดูปกติที่สุด


    “คืออย่างนี้นะจ๊ะพี่ชาละวัน  ท่าน้ำบ้านเราเหลือแต่ปลาตัวเล็ก  น้องกลัวว่าปลาจะไม่ทันโตให้เรากิน  เลยต้องไปจับตรงท่าหมู่บ้านดีกว่าปลามันชุมดี”


    ชาละวันทำเสียงอือออเข้าใจเหตุผล


    “แม่น้ำนะยิ่งปลามันเยอะ  มันก็จะกลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ทั้งหลาย  โดยเฉพาะสัตว์นักล่าที่อยู่น้ำ  น้องไกรทองไม่กลัวจระเข้รึ”


    ไกรทองหยุดเดินหันหน้ากลับมามองคนถาม  เพราะแววตาของพี่ชาละวันทำให้เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ...ร้อยวันพันปีไม่เคยถามถึงจระเข้ แล้วทำไมจู่ๆถึงได้ถามขึ้นมา.....


    ...ช่างเถอะ คงคิดมากไปเอง...


    “ที่เราจะไปจับปลาไม่ใช่จุดน้ำนิ่ง   ฉะนั้นพี่ชาละวันไม่ต้องกังวลว่ามีจระเข้โผล่มาให้เห็นหรอกจ๊ะ   น้องไปแถวนั้นบ่อยวางใจได้ ...อีกอย่างพวกเรารีบเดินเข้าเถอะเดี๋ยวจะเย็นย่ำเสียก่อน”


     ‘เด็กน้อยเอ้ย   ถึงไม่เป็นน้ำนิ่งถ้าจระเข้มันจะมาว่ายลอยคอเล่นน้ำได้มันก็มา   ยิ่งโดยเฉพาะพญากุมภีร์สนที่ไหนไอ้เรื่องน้ำนิ่งไม่นิ่ง’


    กล่าวเสร็จไกรทองก็รีบจ้ำอ้าวเดินหนีชายหนุ่ม.....เขาไม่ได้หนีใครสักหน่อยแค่รีบเดินไปจับปลาเท่านั้น  ไม่ได้หนี...   ผิดด้านกับชาละวันที่ยังคงเที่ยวมองดูนู่น สำรวจดูนี่ค่อยๆเดินไปไม่เร่งรีบเหมือนเช่นคนตรงหน้าที่เร่งฝีเท้าเร็วรี่อย่างคนทำควายหาย


    ในระหว่างกำลังมองแผ่นหลังคนชอบหนีด้วยความสำราญใจ   ทันใดนั้นจมูกของชายหนุ่มได้สัมผัสถึงกลิ่นหอม กลิ่นหอมบางเบาในอากาศ....หอม...มันช่างหอมเหลือเกิน


    ชาละวันเปลี่ยนเส้นทางเดินก้าวเดินไปตามทิศทางของกลิ่นหอม  คล้ายกับว่าเขากำลังถูกชักจูงให้เดินไปด้วยกลิ่น   เพราะยิ่งเขาได้กลิ่นหอมชนิดนี้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร  สติที่ควรพึงมีก็เริ่มลดน้อยถอยลงตามลำดับความหอม 


    จนเมื่อชาละวันเดินมาได้สักพัก  หูทั้งสองข้างเกิดแว่วได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยสองคน  ...เสียงหนึ่งทุ้มต่ำเป็นเสียงของเด็กชายที่เพิ่งเติบโต  กับอีกหนึ่งเสียงที่เป็นของเด็กผู้ชายซึ่งน่าจะอายุน้อยกว่า


    เสียงเด็กน้อยที่ไหนกัน  เหตุฉไนจึงคุ้นหูข้านัก 

    .......

    ....

    ..

    .  

    ‘ถือซะว่าดอกปีบสองดอกนี้แทนตัวข้ากับเจ้าละกันนะ?’


    เสียงร้องไห้ของเด็กน้อย


    ‘ไม่ต้องกลัวไป...พรุ่งนี้จะมารอเจ้าที่ใต้ต้นดอกปีบแล้วกัน’


    เสียงเศร้าสร้อย


    ‘ไม่ได้หรอกพี่มาเล่นกับน้องไม่ได้’


    เสียงยินดีของเด็กน้อย


    ‘อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือนานกว่านั้น’


    ...ใคร...ใครกัน...


    ‘สัญญานะพี่ชา..........’


    “พี่ชาละวัน!!!”  แรงกระชากที่แขนส่งผลให้พญากุมภีร์เริ่มรู้สึกตัว ภาพทุกอย่างที่เคยมองเห็นหายวับไปกับตา


    ...เมื่อตะกี้นี้มันอะไรกัน


    ชาละวันก้มมองแขนตัวเองแล้วเงยหน้ามองไกรทอง   ก่อนจะพยายามตั้งสติสังเกตมองรอบกายให้เต็มตา....ทุกอย่างมันช่างเหมือนวังวนในความฝันอันแสนสั้น    ภาพของเด็กสองคนคุยกันล้วนคือสถานที่เดียวกันทั้งสิ้น  หากต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาเท่านั้นเอง...


    “พี่อยู่ที่ไหน?”


    ที่นี่?...  


    ถ้าจำไม่ผิด...ตรงจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นคนละเส้นทางที่พวกเขาเดินไปจับปลา   บริเวณโดยรอบล้วนเต็มด้วยพุ่มไม้และพงหญ้าขึ้นอย่างรกชัฏ     แสดงให้เห็นว่าที่นี่คงไม่ได้เป็นเส้นทางสัญจรปกติสินะ


    ชาละวันยกมือแตะขมับรู้สึกเวียนศรีษะจนไกรทองต้องรีบพยุงไม่ให้ล้ม....นี่มันอะไรกัน ใครมันกล้าเล่นงานข้า


    “พี่ชาละวันนั่นแหละจู่ๆก็เดินฝ่าพงหญ้า พุ่มไม้   มายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นดอกปีปต้นนี้   น้องเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหัน”


    “ต้นดอกปีป?”   ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเจ้าต้นไม้ที่เด็กหนุ่มพูดถึง


    หากดูจากความสูงกับความกว้างของต้นแล้วอายุขนาดของมันย่อมไม่น่าจะต่ำกว่าห้าสิบปี   และเนื่องจากดอกปีบต้นนี้นั้นตั้งอยู่ใกล้กับริมตลิ่ง    ด้วยเพราะสายลมที่พัดพามาจากสายน้ำทำให้ดอกปีบที่บานส่วนใหญ่ร่วงหล่นเกลื่อนเต็มพื้นดิน   ดูขาวสะอาดคล้ายถูกปูพรมด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์


    นี่สินะที่มาของกลิ่นหอมที่เขาได้กลิ่น   มิน่าต้นใหญ่ขนาดนี้แถมยังบานสะพรั่งไปทั้งต้น  กลิ่นของดอกปีบถึงสามารถส่งกลิ่นหอมได้ขจรไกลไปถึงเขา


    “สงสัยเพราะดอกปีบมันส่งกลิ่นหอมมากจนพี่เผลอเดินมาดู”


    “งั้นรึ...ถึงว่าทำไมพี่ชาละวันถึงรู้จักทางมาที่นี่ได้”


    ชาละวันมองคนพูดด้วยสะกิดใจในประโยค “น้องพูดเหมือนรู้จักที่นี่”


    ไกรทองปล่อยมือจากชาละวันเดินไปทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นปีบ  หยิบดอกที่เพิ่งร่วงลงพื้นขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมเข้าเต็มปอด


    “น้องจำไม่ได้ว่ารู้จักที่นี่เมื่อไร   รู้จักต้นปีบได้ยังไง   แต่ในความทรงจำของน้องมีคนเคยบอกว่ามันคือต้นปีบ และน้องก็มักจะชอบมาที่นี่เสมอเหมือนกับ......กำลังรอคอยใครสักคน....”


    ร่างแหงนหน้ามองดอกปีบที่เบ่งบานอยู่เต็มต้นด้วยแววตาที่ยากเกินจะคาดเดา  “แล้วคนที่น้องไกรทองบอกเป็นใคร ...และน้องได้เจอคนที่รอแล้วหรือยัง?”


    เด็หนุ่มเหม่อมองดอกไม้ในมือด้วยอาการเลื่อนลอย “น้องไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครแต่น้องเชื่อว่าเขายังไม่มา....ฮึ! น้องหยั่งกับคนบ้าที่เฝ้ารอคอยคนปริศนาที่แม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร   มาจากที่ไหน.....และทำไมถึงต้องรออย่างไม่มีจุดหมาย....”


    ชาละวันก้มหยิบดอกปีบขึ้นมาดอมดม   แล้วลองเพ่งพินิจดูความงามของมันให้เต็มสองตา  ดอกไม้ชนิดนี้เมื่อเบ่งบานเต็มที่จะมีอยู่ด้วยกันห้ากลีบบางดอกก็มีแค่สี่กลีบ   ก้านดอกยาว   ทั้งดอกเป็นสีขาวล้วนไม่มีสีอื่นมาเจือปน   ช่างเป็นสีที่บริสุทธิ์เหลือเกิน...บริสุทธิ์ไร้ราคีเหมือน....


    ...คนตรงหน้าของเขา...


    อาจเป็นเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่แต่กับการแก้แค้น    เลยทำให้ลงลืมกลิ่นของมันไป   และพอได้กลับดอมดมอีกครั้งความทรงจำดีๆที่เคยมีต่อเจ้าดอกไม้ดอกนี้    ก็ได้หวนกลับคืนมาสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง   


    เขาผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเกลียดกลิ่นหอมทุกชนิด  ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเครื่องหอมหรือแม้แต่กลิ่นหอมของดอกไม้    ยกเว้นแค่ดอกปีบเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ดอมดม


    ...คล้ายกับ.......


    “พี่คิดว่าน้องไกรทองไม่ได้บ้าหรอก   การที่เราจะรอใครสักคนย่อมไม่ใช่แค่มาจากคำมั่นสัญญาหรือความทรงจำที่มีต่อคนผู้นั้น    พี่เชื่อคนปริศนาที่น้องบอกอาจเป็นคนสำคัญในหัวใจเป็นแน่น้องถึงได้เฝ้ารออยู่อย่างนี้ ....และเมื่อวันนั้นมาถึง   คนในความทรงจำของน้องจะต้องมาปรากฎตัวแน่ๆ”


    ไกรทองละสายตาจากดอกปีบมองร่างสูงสง่าที่อยู่ตรงหน้า    เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าอันแสนงดงาม  ผิวขาวนวลละออสะท้อนแสงแดดจนสว่างเป็นประกาย   พอมายืนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกปีบและมีดอกปีบที่ร่วงโปรยปรายเป็นระยะรอบกายของชายหนุ่ม  


    ....ทุกอย่างมันช่างดูสวยงามและน่าดึงดูด  เสียจนเขาไม่อยากจะละสายตาไปที่ไหน


    “น้องจะรู้ได้เช่นไรว่าใครคือคนที่รอ”


    “หัวใจของน้องจะเป็นผู้ที่บอกน้องเอง เหมือนกับที่มันบอกให้น้องรอ”


    พญากุมภีร์พูดแค่นั้นก็โยนดอกปีบในมือทิ้งไปแล้วเดินหันหลังทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่สนใจใยดี  ไกรทองต้องรีบร้อนลุกวิ่งตามด้วยความมึนงงกับท่าทางของชายหนุ่ม


    “พี่ชาละวันรอน้องด้วย”


    ชาละวันไม่ตอบและไม่หยุดรอ   เพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังสับสน  ‘ทำไม...ทำไม...ทำไมข้าถึงพูดประโยคพวกนั้นออกไป   ข้ารู้เหรอว่าคนที่น้องไกรทองรอเป็นใคร...ข้าไม่รู้...ข้าไม่น่าจะรู้’


    และที่สำคัญทำไมหัวใจดวงนี้ต้องรู้สึกเต้นแรงด้วยความดีใจ   เจ็บปวด และโหยหา   เมื่อน้องไกรทองบอกว่ายังคงเฝ้ารออยู่ที่นี่    ทั้งๆที่ทุกอย่างมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย.....ไม่มีส่วนเกี่ยวอะไรทั้งนั้น


    “พี่ชาละวัน!”


    ไกรทองต้องใช้แรงเกือบทั้งหมดเพื่อดึงแขนข้างนี้เอาไว้เพื่อหยุดอีกฝ่าย   ใบหน้าเด็กหนุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ  ร่างกายเหนื่อยหอบเล็กน้อยเนื่องจากรีบจ้ำอ้าวตามขายาวๆของคนเดินหนี


    ไกรทองยอมรับว่าพี่ชาละวันตอนนี้ดูนิ่งน่ากลัวมาก.....ไม่รู้ว่าในใจของพี่เขาคิดอะไรอยู่   ใบหน้าถึงได้บึ้งตึงเคร่งเครียดถึงเพียงนี้   ซึ่งเขาไม่เคยพี่ชายคนนี้ในสภาพอารมณ์เช่นนี้มาก่อน 


    ...พี่ชาละวันเป็นอะไรไป   เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย   ประเดี๋ยวเดินตามประเดี๋ยวเดินหนี   เขาทำตัวไม่ถูกแล้วนะ

    ชาละวันเอื้อมมือเช็ดเหงื่อที่ขมับให้ไกรทอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความคาดหวังในคำตอบที่เขาจะได้รับกลับมา


    “หากคนๆนั้นที่น้องรอไม่เป็นดั่งที่น้องคิดไว้  น้องจะรับได้ไหม?...และถ้าคนๆนั้นกลับมาหาน้อง...เราสองคนจะยังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมหรือไม่?”


    ไกรทองก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา  แต่กลับถูกชาละวันเชยคางบังคับให้เขาเงยหน้ามาสบสายตาด้วย


    “น้อง......”


    ท่าทีอิดเอื้อนไม่กล้าพูด   ช่างไม่สบอารมณ์ท่านท้าวพญากุมภีร์   จนจิตใจเริ่มสับสนร้อนรุ้มดั่งไฟสุมทรวงอีกครั้ง


    แท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่    ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องนำมาใส่ใจให้เปลืองสมอง    เพราะต่อให้เจ้าคนที่ว่านั่นกลับมาไกรทองก็ยังต้องเป็นสมบัติของเขาต่อไป   ใครหน้าไหนห้ามแตะต้องเด็ดขาด!


    หากพอเขาได้เห็นท่าทีลังเลยากจะตัดสินใจอย่างนี้จากเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้   หัวใจที่เคยเย็นชาเป็นน้ำแข็งกลับต้องมาเต้นแรงเพราะไฟริษยาในอก


    นับตั้งแต่ที่รู้ความจริงในเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น   เขาก็เริ่มคิดถึงแต่การแก้แค้น…แก้แค้นทุกคนที่ฆ่าพ่อและพวกที่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของพ่อ


    การสืบหาได้ถูกดำเนินขึ้นมาอย่างลับๆ    ซึ่งถึงแม้เขาจะใช้เวลาในการค้นหานานหลายปี   หากทว่าผลตอบแทนของมันช่างคุ้มแสนคุ้มกับสิ่งที่เขาได้ลงแรงและอดทนรอคอย


     ....เขาถึงได้รู้สาเหตุ     รู้ถึงลักษณะการตาย     และรู้ถึงคนฆ่า....


    เมื่อวันที่ปู่ของเขาตัดสินใจจะทำการสละตำแหน่งเพื่อไปถือศีสบำเพ็ญภาวนา   แผนการแก้แค้นทั้งหมดที่วางไว้ก็ได้ดำเนินการขึ้นมา   มันถูกทักทอวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นเรื่อยๆ   ไม่ให้ผู้ใดรู้    ไม่ให้ผู้ใดเห็น   นอกเสียจากคนสนิทข้างกายเขา.....   เพื่อป้องกันการคัดค้านจากท่านปู่    เพื่อป้องกันการแหวกหญ้าให้งูตื่น   


    ทุกอย่างเกือบสำเร็จเสร็จสมบูรณ์    เหลือเพียงแค่ให้ได้อำนาจสั่งการมาไว้ในมือ    แผนการของเขาถึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง

    กาลเวลาและความแค้นได้กัดกินจิตใจของเขาให้ตายลงอย่างช้าๆ   จนในที่สุดก็กลายเป็นผู้ไร้หัวใจ   ไร้น้ำตา   ฆ่าทุกคนได้อย่างเลือดเย็น   ใช้ประโยชน์จากทุกคนแล้วค่อยโยนทิ้งเมื่อหมดประโยชน์


    โดยเฉพาะเจ้ามนุษย์ผู้นี่...หมากเบี้ยแสนสำคัญสำหรับการแก้แค้น   เป็นหมากเบี้ยที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด

    เพราะเจ้ามนุษย์ผู้นี้คือลูกของขุนไกร...เจ้าของมีดหมอที่ปักตรงหัวใจของพ่อ...มีดหมอที่เขายังเก็บไว้กับตัวเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ลืม...ลืมว่าพ่อตายยังไง


    ใช่! เจ้ามนุษย์นี่ต้องชดใช้แทนพ่อของมัน


    จิตใจยิ่งคิดเพลิงโทสะในใจยิ่งโหมกระหน่ำ   แววตาที่คอยเสแสร้งว่าอ่อนโยนส่องประกายเจิดจ้า     หมายมาดจะทำลายทุกสิ่งให้พังพินาศในชั่วพริบตาให้สมกับความแค้นที่มีมาเนิ่นนาน  


    ไม่ต้องสนใจแผนการใดๆทั้งสิ้น   ไม่ต้องสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น   ฆ่าพวกมันให้จบๆไปซะดวงวิญญาณของพ่อจะได้สงบ   เมื่อข้าจัดการพวกมันทุกคนได้สำเร็จ


    แต่ความคิดแสนชั่วร้ายที่เกิดขึ้นมาในจิตใจกลับมาถูกทำลายลงไป    ด้วยคำพูดเพียงแค่ประโยคนี้   ประโยคเดียวจากปากไกรทอง    คำพูดที่สามารถชโลมจิตใจที่ซึ่งเต็มไปด้วยไฟแค้นให้มอดดับลงได้โดยไม่เหลือแม้แต่ควันไฟให้เห็น


    “น้อง...เชื่อว่า...ต่อให้คนคนนั้นกลับมาหาน้องจริง  พี่ชาละวัน...ยังคงเป็นพี่ชาละวันของน้อง...ตลอดไป”


    “แม้นคนผู้นั้น จะสำคัญกับน้องมากเพียงใดก็ตามงั้นรึ?......”


    ไกรทองเงียบไปชั่วขณะ   จ้องตากับชาละวัน   หันเหสายตามองไปยังผืนน้ำ   แล้ววกกลับมามองหน้าร่างสูงอีกครั้งก่อนตัดสินใจข่มความอับอาย   โยนทิ้งศักดิ์ศรีลูกชายทิ้งลงน้ำชั่วคราว   พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่จริงใจ


    “ถึงเขาคนนั้นจะสำคัญต่อน้องมากเพียงใด...แต่พี่ชาละวันก็สำคัญกับน้องไม่ต่างกัน”


    ชาละวันยืนนิ่งไม่หือ ไม่อือ  ไม่ว่ากล่าวคำใดออกมา   นอกจากยืนมองหน้าเด็กหนุ่มตาปริบๆ  จนคนพูดรู้สึกหน้าเสียเล็กน้อย

    หรือว่าเขาจะพูดอันใดผิดไป...หรือพี่ชาละวันจะไม่ชอบให้พูดเยี่ยงนี้


    เฮ้อ! แน่ละ   จะมีบุรุษที่ไหนมาพูดคำหวานเลี่ยนใส่บุรุษด้วยกัน   ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกแย่ทั้งนั้น   ไม่น่าปากพล่อยพูดตามใจคิดเล๊ย!   หลวงตาอุตส่าห์สอนไว้ว่า....ให้คิดก่อนพูดไม่ใช่ให้พูดก่อนคิด


    ไกรทองนึกโทษตัวเองอยู่ได้ไม่นานก็มีอันต้องตกตะลึง   เมื่อจู่ๆชายที่ยืนนิ่งเป็นหินดึงเขาเข้าไปกอดรัดด้วยความดีใจ   ไม่สนใจอาการตะลึงตาค้างของคนถูกกอด


    สำหรับชาละวันแล้วถึงแม้ว่าคนที่เขากอดอยู่นี้จะบุรุษ   ผิวไม่ขาวหรือนุ่มนิ่มเหมือนอิสตรีแถมยังมีผิวกายแข็งและหยาบกระด้างประสาคนทำงานท่ามกลางแดด ฝนมานานปี   ยามนี้กลับรู้สึกดีจนอบอุ่นซาบซ่านไปทั้งหัวใจ


    รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรใจอ่อนให้กับคนที่เขาหมายหัวว่าเป็นศัตรู   ควรทำใจโหดเหี้ยมสามารถสมดั่งคำปฏิญาณที่เคยตั้งไว้ตัวเอง

    แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ทุกครั้งเมื่อได้มาอยู่ใกล้เจ้ามนุษย์ผู้นี้


     “พี่ชาละวันปล่อยน้องเถอะ”


    หลังจากที่หายตกใจเพราะถูกกอด   ไกรทองก็พยายามดิ้นหนีจากอ้อมแขนนี้...ไม่ตลกเลยนะที่จะมาถูกกอดอยู่แบบนี้หากใครผ่านมาเห็นเข้า  คงได้ขำกันไม่ออกแน่ๆ


    ทว่ายิ่งขาออกแรงดิ้นหนีให้หลุดจากวงแขนคู่นี้   ตัวเขาก็ยิ่งโดนรัดแน่นจนไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนได้ง่ายๆ   ทั้งๆที่รูปร่างฝ่ายนั้นดูออกจะบอบบางกว่าด้วยซ้ำ   เหตุฉไนถึงมีกำลังวังชามากเกินตัวได้ถึงขนาดนี้


    ท้ายที่สุดไกรทองก็หมดแรงยอมแพ้ให้ชาละวันกอดอยู่แบบนั้นต่อไป...คนเรานี่ดูกันเพียงแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆเสียด้วย


    “พี่ดีใจที่น้องไกรทองเห็นว่าพี่สำคัญ   ไม่ได้ด้อยค่าอย่างที่พี่นึกกลัว”


    ไกรทองตบหลังชายหนุ่มเบาๆ “แน่นอน...”


    หัวใจจากที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง   ได้กลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง


    คงจริงอย่างคณัสนันท์เคยกล่าวกับเขาก่อนหน้านั้น...จะละเว้นไว้เสียสักสองสามคนไม่ได้เชียวรึ? โดยเฉพาะไกรทอง


    ชาละวันก้มหน้าลงประชิดไกรทองจนปลายจมูกชนกัน  ทำเอาไกรทองตกตะลึงจนผงะไปด้านหลัง   ลมหายใจของร่างสูงเป่ากระทบใบหน้าจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม  ใจเต้นระส่ำจนหูอื้อ


    ไกรทองพยายามขัดขืนเบนสายตาหนีไปทางอื่น   ข่มใจไม่หลงมัวเมากับเสน่ห์และความงามของคนตรงหน้า  แต่มันก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกินด้วยเพราะบุรุษผู้นี้ช่างงามนัก  และชอบทำสายตาเว้าวอนจนเขาทำใจร้ายกับอีกฝ่ายไม่ลงทุกที  ..... น่าเจ็บใจจริงๆ   ซึ่งถ้าหากอีกฝ่ายเป็นหญิง  เขาคงจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่แบบนี้ ‘ดีไม่ดีอาจจะคว้ามาเป็นเมียก็ได้’


    เสี้ยวหน้าที่พยายามทำเคร่งขรึมช่างดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก   ชาละวันเลยก้มลงหอมแก้มไกรทองอย่างหมั่นเขี้ยวทีนึง   ทำให้เด็กหนุ่มในอ้อมแขนสะดุ้งเฮือกรีบหันหน้ากลับมาทันที  และนั่นก็คือสิ่งที่ผิดมหันต์ 


    เมื่อทันทีที่ได้สบตากับร่างสูง    เขาก็ได้ถูกความงามของคนผู้นี้ดึงสติไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว


    ...ดวงตาพี่ชาละวันงามนัก  


    เขาเคยสังเกตเห็นอยู่หลายครั้งว่าสีของดวงตาคู่นี้ช่างแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเสียจริง    เพราะมันไม่ใช่ทั้งสีดำ  สีตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอ่อน   มันดูอ่อนจางกว่านั้นมากคล้ายกับสีเขียวอ่อนปนเหลืองส่องประกาย


    ‘หยั่งกับดวงตาของสัตว์กินเนื้อ’


    เด็กหนุ่มเผลอลูบไล้ใบหน้าหวานล้ำอย่างลืมตัว   ถึงจะรู้ว่าไม่สมควรทำแต่เขาก็ยังอยากจะทำ   อยากจะพิสูจน์ให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้มีตัวตนอยู่จริงๆ   หาใช่เทพยดาจากสวรรค์เบื้องบนแปลงกายลงมาเพื่อหลอกมนุษย์เดินดินเช่นเขาให้หลงใหล  หากเมื่อได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากผิวกาย เขากลับเริ่มละโมบอยากสัมผัสอีกฝ่ายให้มากกว่านี้


    ไกรทองพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่เริ่มปะทุขึ้นมาในจิตใจ  แม้จะว่าไม่ถูกต้อง...แม้จะรู้ว่ามีใครจับจอง...แม้รู้สึกถึงอันตราย...เขาไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว   


    วินาทีนั้นชาละวันจับไกรทองอุ้มพาดบ่าของตนอย่างมั่นคง  ก่อนจะพาออกเดินด้วยสายตาอันมุ่งมั่นและตัดสินใจ โดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของไกรทองเลยสักนิด


    “ปล่อยข้านะ!”


    ไกรทองออกแรง ทั้งเข่า ทั้งต่อย ทั้งเตะ กัดด้วย แต่ร่างสูงกลับไม่มีสะเทือนเลยสักนิด ร่างกายนี้มันทำด้วยเหล็กไหลหรือไงว่ะ!!! ลงมือขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมปล่อยอีก!


    “พี่พอจะรู้จักที่ดีๆอยู่บ้าง น้องไกรทองไม่ต้องกลัวนะ...หึหึ”


    ชาละวันหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีต่างจากคนฟังที่เริ่มหน้าซีดขาวไร้สีเลือด   แม้ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหนแต่ด้วยสัญชาติญานของเขารับรู้ได้อย่างแม่นยำว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีๆแน่ๆ


    โดยเฉพาะเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์แบบนี้


    ใครก็ได้!!!


    ช่วยข้าด้วย!!!!!!!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×