คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ไกรทอง ตอนที่22 (แก้ไข)
ช่วงบ่ายของวันนี้บริเวณริมตริ่งของแม่น้ำท้ายหมู่บ้าน ปรากฎร่างสองหนุ่มต่างวัยที่พากันลัดเลาะเดินกันไปเรื่อยๆตามเส้นทางเดิน คนหนึ่งเดินนำหน้าเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวออกคล้ำนุ่งโจงกระเบนเปลือยท่อนบนบ่าขวามีแหพาดอยู่ ส่วนคนที่สองนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตางดงาม ผิวขาวผ่อง มีฆ้องคาดเอวเดินตามหลัง
เพราะถูกเคียวบาดมือระหว่างเกี่ยวข้าวเมื่อวาน ทำให้วันนี้พี่ชาละวันไม่สามารถไปช่วยทำงานที่นาได้ พอจะให้กลับไปช่วยงานที่บ้านใหญ่ ทางฝ่ายผู้ใหญ่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธแถมยังกำชับห้ามให้คนเจ็บทำงานจนกว่ามือจะหายดี....ครั้นพอเขาจะผลักไสไปฝากผีฝากไข้กับพี่นัน อีกฝ่ายดันเสือกรู้ทันรีบผลักหน้าที่ส่วนนี้มาให้กับเขาแบบไม่ทันตั้งตัว แล้วลากคอทองดำแจ้นไปเกี่ยวข้าวที่นากันตั้งแต่ไก่โห่ แต่ก่อนไปยังมีหน้ามาบอกกล่าวเขาอีกว่า ‘ดูแลเพื่อนข้าให้ดีๆนะน้องชาย เกี่ยวข้าวแล้วเสร็จจะรีบกลับมา’
ซึ่งเขายอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกหูอื้อ ตาลาย อยากกระโดดถีบใส่ไอ้สองคนที่เดินกอดคอหัวเราะเยาะชอบใจกับการสามารถทำเรื่องแกล้งคนได้สำเร็จ โดยไม่ใส่ใจถึงความลำบากใจของเขาที่มีต่อพี่ชาละวันเลยสักนิด
‘เหมือนกับมีเชือกล่องหนเส้นใหญ่ผูกยึดเขาไว้กับชายหนุ่ม ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจหนีพ้นได้เลย’
ทำไมกันนะ อุตส่าห์พยามหาทางหลีกเลี่ยงออกห่างมากเท่าใดก็มักจะเหตุดึงรั้งให้เข้าไปชิดไปใกล้จนต้องรู้สึกลำบากใจ ทั้งความรู้สึกของตัวเองกับความรู้สึกของตระเภาทอง
คนงามใครบ้างไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะเข้าใกล้ เพราะขนาดตระเภาแก้ว ตระเภาทองเป็นสาวงามที่ถูกกล่าวขาน ก็ยังงามไม่ถึงครึ่งของพี่ชาละวันเลยด้วยซ้ำไป
...แต่ลางสังหรณ์ส่วนลึกมักจะบอกกับเขาอยู่เสมอ ในความงามเหนือผู้คนนี้มันมีแต่อันตรายที่ต้องควรระวัง
อาจด้วยเพราะความงามคล้ายคลึงกับดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมประหลาด เที่ยวคอยหลอกล่อให้หมู่ภมรหลงเข้าไปติดกับดัก ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับความงามของดอกไม้เสียแล้ว
... นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลาไม่ให้เผลอใจหลงใหลไปกับเสน่ห์ของอีกฝ่าย ...ถึงแม้หลังๆมานี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าจะสามารถต้านทานไปได้อีกนานแค่ไหน
ส่วนชาละวันที่เดินตามหลัง มองชมนก ชมไม้ ชมปลาริ่มตลิ่งไปเรื่อยเปื่อย แสร้งทำเป็นไม่รู้ทันความหนักใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่…ถ้ามีปัญญาหนีได้ก็หนีไป เพราะเขามั่นใจว่ามีแรงมากพอจะลากอีกฝ่ายให้กลับมาหาเขาอีกอยู่ดี
เดินเงียบๆกันมาจนชายหนุ่มเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาพวกเขายังไม่ได้พูดคุยกันสักครึ่งคำ
“น้องไกรทองเหตุใดเราถึงต้องหอบแหถือฆ้องไปจับปลาเสียตั้งไกลแถวท้ายหมู่บ้าน ไม่จับปลาที่ท่าน้ำหลังบ้านเราละจ๊ะ จะได้ไม่เสียเวลาเดินเท้าให้เหนื่อยแรง”
ไกรทองกลั้นใจตั้งสติ ระงับอารมณ์ตื่นกลัว แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงให้ฟังดูปกติที่สุด
“คืออย่างนี้นะจ๊ะพี่ชาละวัน ท่าน้ำบ้านเราเหลือแต่ปลาตัวเล็ก น้องกลัวว่าปลาจะไม่ทันโตให้เรากิน เลยต้องไปจับตรงท่าหมู่บ้านดีกว่าปลามันชุมดี”
ชาละวันทำเสียงอือออเข้าใจเหตุผล
“แม่น้ำนะยิ่งปลามันเยอะ มันก็จะกลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะสัตว์นักล่าที่อยู่น้ำ น้องไกรทองไม่กลัวจระเข้รึ”
ไกรทองหยุดเดินหันหน้ากลับมามองคนถาม เพราะแววตาของพี่ชาละวันทำให้เด็กหนุ่มนึกแปลกใจ...ร้อยวันพันปีไม่เคยถามถึงจระเข้ แล้วทำไมจู่ๆถึงได้ถามขึ้นมา.....
...ช่างเถอะ คงคิดมากไปเอง...
“ที่เราจะไปจับปลาไม่ใช่จุดน้ำนิ่ง ฉะนั้นพี่ชาละวันไม่ต้องกังวลว่ามีจระเข้โผล่มาให้เห็นหรอกจ๊ะ น้องไปแถวนั้นบ่อยวางใจได้ ...อีกอย่างพวกเรารีบเดินเข้าเถอะเดี๋ยวจะเย็นย่ำเสียก่อน”
‘เด็กน้อยเอ้ย ถึงไม่เป็นน้ำนิ่งถ้าจระเข้มันจะมาว่ายลอยคอเล่นน้ำได้มันก็มา ยิ่งโดยเฉพาะพญากุมภีร์สนที่ไหนไอ้เรื่องน้ำนิ่งไม่นิ่ง’
กล่าวเสร็จไกรทองก็รีบจ้ำอ้าวเดินหนีชายหนุ่ม.....เขาไม่ได้หนีใครสักหน่อยแค่รีบเดินไปจับปลาเท่านั้น ไม่ได้หนี... ผิดด้านกับชาละวันที่ยังคงเที่ยวมองดูนู่น สำรวจดูนี่ค่อยๆเดินไปไม่เร่งรีบเหมือนเช่นคนตรงหน้าที่เร่งฝีเท้าเร็วรี่อย่างคนทำควายหาย
ในระหว่างกำลังมองแผ่นหลังคนชอบหนีด้วยความสำราญใจ ทันใดนั้นจมูกของชายหนุ่มได้สัมผัสถึงกลิ่นหอม กลิ่นหอมบางเบาในอากาศ....หอม...มันช่างหอมเหลือเกิน
ชาละวันเปลี่ยนเส้นทางเดินก้าวเดินไปตามทิศทางของกลิ่นหอม คล้ายกับว่าเขากำลังถูกชักจูงให้เดินไปด้วยกลิ่น เพราะยิ่งเขาได้กลิ่นหอมชนิดนี้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร สติที่ควรพึงมีก็เริ่มลดน้อยถอยลงตามลำดับความหอม
จนเมื่อชาละวันเดินมาได้สักพัก หูทั้งสองข้างเกิดแว่วได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยสองคน ...เสียงหนึ่งทุ้มต่ำเป็นเสียงของเด็กชายที่เพิ่งเติบโต กับอีกหนึ่งเสียงที่เป็นของเด็กผู้ชายซึ่งน่าจะอายุน้อยกว่า
เสียงเด็กน้อยที่ไหนกัน เหตุฉไนจึงคุ้นหูข้านัก
.......
....
..
.
‘ถือซะว่าดอกปีบสองดอกนี้แทนตัวข้ากับเจ้าละกันนะ?’
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อย
‘ไม่ต้องกลัวไป...พรุ่งนี้จะมารอเจ้าที่ใต้ต้นดอกปีบแล้วกัน’
เสียงเศร้าสร้อย
‘ไม่ได้หรอกพี่มาเล่นกับน้องไม่ได้’
เสียงยินดีของเด็กน้อย
‘อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือนานกว่านั้น’
...ใคร...ใครกัน...
‘สัญญานะพี่ชา..........’
“พี่ชาละวัน!!!” แรงกระชากที่แขนส่งผลให้พญากุมภีร์เริ่มรู้สึกตัว ภาพทุกอย่างที่เคยมองเห็นหายวับไปกับตา
...เมื่อตะกี้นี้มันอะไรกัน
ชาละวันก้มมองแขนตัวเองแล้วเงยหน้ามองไกรทอง ก่อนจะพยายามตั้งสติสังเกตมองรอบกายให้เต็มตา....ทุกอย่างมันช่างเหมือนวังวนในความฝันอันแสนสั้น ภาพของเด็กสองคนคุยกันล้วนคือสถานที่เดียวกันทั้งสิ้น หากต่างกันเพียงแค่ช่วงเวลาเท่านั้นเอง...
“พี่อยู่ที่ไหน?”
ที่นี่?...
ถ้าจำไม่ผิด...ตรงจุดที่ยืนอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นคนละเส้นทางที่พวกเขาเดินไปจับปลา บริเวณโดยรอบล้วนเต็มด้วยพุ่มไม้และพงหญ้าขึ้นอย่างรกชัฏ แสดงให้เห็นว่าที่นี่คงไม่ได้เป็นเส้นทางสัญจรปกติสินะ
ชาละวันยกมือแตะขมับรู้สึกเวียนศรีษะจนไกรทองต้องรีบพยุงไม่ให้ล้ม....นี่มันอะไรกัน ใครมันกล้าเล่นงานข้า
“พี่ชาละวันนั่นแหละจู่ๆก็เดินฝ่าพงหญ้า พุ่มไม้ มายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นดอกปีปต้นนี้ น้องเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมหัน”
“ต้นดอกปีป?” ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเจ้าต้นไม้ที่เด็กหนุ่มพูดถึง
หากดูจากความสูงกับความกว้างของต้นแล้วอายุขนาดของมันย่อมไม่น่าจะต่ำกว่าห้าสิบปี และเนื่องจากดอกปีบต้นนี้นั้นตั้งอยู่ใกล้กับริมตลิ่ง ด้วยเพราะสายลมที่พัดพามาจากสายน้ำทำให้ดอกปีบที่บานส่วนใหญ่ร่วงหล่นเกลื่อนเต็มพื้นดิน ดูขาวสะอาดคล้ายถูกปูพรมด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์
นี่สินะที่มาของกลิ่นหอมที่เขาได้กลิ่น มิน่าต้นใหญ่ขนาดนี้แถมยังบานสะพรั่งไปทั้งต้น กลิ่นของดอกปีบถึงสามารถส่งกลิ่นหอมได้ขจรไกลไปถึงเขา
“สงสัยเพราะดอกปีบมันส่งกลิ่นหอมมากจนพี่เผลอเดินมาดู”
“งั้นรึ...ถึงว่าทำไมพี่ชาละวันถึงรู้จักทางมาที่นี่ได้”
ชาละวันมองคนพูดด้วยสะกิดใจในประโยค “น้องพูดเหมือนรู้จักที่นี่”
ไกรทองปล่อยมือจากชาละวันเดินไปทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นปีบ หยิบดอกที่เพิ่งร่วงลงพื้นขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอมเข้าเต็มปอด
“น้องจำไม่ได้ว่ารู้จักที่นี่เมื่อไร รู้จักต้นปีบได้ยังไง แต่ในความทรงจำของน้องมีคนเคยบอกว่ามันคือต้นปีบ และน้องก็มักจะชอบมาที่นี่เสมอเหมือนกับ......กำลังรอคอยใครสักคน....”
ร่างแหงนหน้ามองดอกปีบที่เบ่งบานอยู่เต็มต้นด้วยแววตาที่ยากเกินจะคาดเดา “แล้วคนที่น้องไกรทองบอกเป็นใคร ...และน้องได้เจอคนที่รอแล้วหรือยัง?”
เด็หนุ่มเหม่อมองดอกไม้ในมือด้วยอาการเลื่อนลอย “น้องไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครแต่น้องเชื่อว่าเขายังไม่มา....ฮึ! น้องหยั่งกับคนบ้าที่เฝ้ารอคอยคนปริศนาที่แม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร มาจากที่ไหน.....และทำไมถึงต้องรออย่างไม่มีจุดหมาย....”
ชาละวันก้มหยิบดอกปีบขึ้นมาดอมดม แล้วลองเพ่งพินิจดูความงามของมันให้เต็มสองตา ดอกไม้ชนิดนี้เมื่อเบ่งบานเต็มที่จะมีอยู่ด้วยกันห้ากลีบบางดอกก็มีแค่สี่กลีบ ก้านดอกยาว ทั้งดอกเป็นสีขาวล้วนไม่มีสีอื่นมาเจือปน ช่างเป็นสีที่บริสุทธิ์เหลือเกิน...บริสุทธิ์ไร้ราคีเหมือน....
...คนตรงหน้าของเขา...
อาจเป็นเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่แต่กับการแก้แค้น เลยทำให้ลงลืมกลิ่นของมันไป และพอได้กลับดอมดมอีกครั้งความทรงจำดีๆที่เคยมีต่อเจ้าดอกไม้ดอกนี้ ก็ได้หวนกลับคืนมาสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง
เขาผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเกลียดกลิ่นหอมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเครื่องหอมหรือแม้แต่กลิ่นหอมของดอกไม้ ยกเว้นแค่ดอกปีบเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่ได้ดอมดม
...คล้ายกับ.......
“พี่คิดว่าน้องไกรทองไม่ได้บ้าหรอก การที่เราจะรอใครสักคนย่อมไม่ใช่แค่มาจากคำมั่นสัญญาหรือความทรงจำที่มีต่อคนผู้นั้น พี่เชื่อคนปริศนาที่น้องบอกอาจเป็นคนสำคัญในหัวใจเป็นแน่น้องถึงได้เฝ้ารออยู่อย่างนี้ ....และเมื่อวันนั้นมาถึง คนในความทรงจำของน้องจะต้องมาปรากฎตัวแน่ๆ”
ไกรทองละสายตาจากดอกปีบมองร่างสูงสง่าที่อยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าอันแสนงดงาม ผิวขาวนวลละออสะท้อนแสงแดดจนสว่างเป็นประกาย พอมายืนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกปีบและมีดอกปีบที่ร่วงโปรยปรายเป็นระยะรอบกายของชายหนุ่ม
....ทุกอย่างมันช่างดูสวยงามและน่าดึงดูด เสียจนเขาไม่อยากจะละสายตาไปที่ไหน
“น้องจะรู้ได้เช่นไรว่าใครคือคนที่รอ”
“หัวใจของน้องจะเป็นผู้ที่บอกน้องเอง เหมือนกับที่มันบอกให้น้องรอ”
พญากุมภีร์พูดแค่นั้นก็โยนดอกปีบในมือทิ้งไปแล้วเดินหันหลังทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่สนใจใยดี ไกรทองต้องรีบร้อนลุกวิ่งตามด้วยความมึนงงกับท่าทางของชายหนุ่ม
“พี่ชาละวันรอน้องด้วย”
ชาละวันไม่ตอบและไม่หยุดรอ เพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังสับสน ‘ทำไม...ทำไม...ทำไมข้าถึงพูดประโยคพวกนั้นออกไป ข้ารู้เหรอว่าคนที่น้องไกรทองรอเป็นใคร...ข้าไม่รู้...ข้าไม่น่าจะรู้’
และที่สำคัญทำไมหัวใจดวงนี้ต้องรู้สึกเต้นแรงด้วยความดีใจ เจ็บปวด และโหยหา เมื่อน้องไกรทองบอกว่ายังคงเฝ้ารออยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ทุกอย่างมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย.....ไม่มีส่วนเกี่ยวอะไรทั้งนั้น
“พี่ชาละวัน!”
ไกรทองต้องใช้แรงเกือบทั้งหมดเพื่อดึงแขนข้างนี้เอาไว้เพื่อหยุดอีกฝ่าย ใบหน้าเด็กหนุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างกายเหนื่อยหอบเล็กน้อยเนื่องจากรีบจ้ำอ้าวตามขายาวๆของคนเดินหนี
ไกรทองยอมรับว่าพี่ชาละวันตอนนี้ดูนิ่งน่ากลัวมาก.....ไม่รู้ว่าในใจของพี่เขาคิดอะไรอยู่ ใบหน้าถึงได้บึ้งตึงเคร่งเครียดถึงเพียงนี้ ซึ่งเขาไม่เคยพี่ชายคนนี้ในสภาพอารมณ์เช่นนี้มาก่อน
...พี่ชาละวันเป็นอะไรไป เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ประเดี๋ยวเดินตามประเดี๋ยวเดินหนี เขาทำตัวไม่ถูกแล้วนะ
ชาละวันเอื้อมมือเช็ดเหงื่อที่ขมับให้ไกรทอง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความคาดหวังในคำตอบที่เขาจะได้รับกลับมา
“หากคนๆนั้นที่น้องรอไม่เป็นดั่งที่น้องคิดไว้ น้องจะรับได้ไหม?...และถ้าคนๆนั้นกลับมาหาน้อง...เราสองคนจะยังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมหรือไม่?”
ไกรทองก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา แต่กลับถูกชาละวันเชยคางบังคับให้เขาเงยหน้ามาสบสายตาด้วย
“น้อง......”
ท่าทีอิดเอื้อนไม่กล้าพูด ช่างไม่สบอารมณ์ท่านท้าวพญากุมภีร์ จนจิตใจเริ่มสับสนร้อนรุ้มดั่งไฟสุมทรวงอีกครั้ง
แท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องนำมาใส่ใจให้เปลืองสมอง เพราะต่อให้เจ้าคนที่ว่านั่นกลับมาไกรทองก็ยังต้องเป็นสมบัติของเขาต่อไป ใครหน้าไหนห้ามแตะต้องเด็ดขาด!
หากพอเขาได้เห็นท่าทีลังเลยากจะตัดสินใจอย่างนี้จากเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ หัวใจที่เคยเย็นชาเป็นน้ำแข็งกลับต้องมาเต้นแรงเพราะไฟริษยาในอก
นับตั้งแต่ที่รู้ความจริงในเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้น เขาก็เริ่มคิดถึงแต่การแก้แค้น…แก้แค้นทุกคนที่ฆ่าพ่อและพวกที่มีส่วนรู้เห็นกับการตายของพ่อ
การสืบหาได้ถูกดำเนินขึ้นมาอย่างลับๆ ซึ่งถึงแม้เขาจะใช้เวลาในการค้นหานานหลายปี หากทว่าผลตอบแทนของมันช่างคุ้มแสนคุ้มกับสิ่งที่เขาได้ลงแรงและอดทนรอคอย
....เขาถึงได้รู้สาเหตุ รู้ถึงลักษณะการตาย และรู้ถึงคนฆ่า....
เมื่อวันที่ปู่ของเขาตัดสินใจจะทำการสละตำแหน่งเพื่อไปถือศีสบำเพ็ญภาวนา แผนการแก้แค้นทั้งหมดที่วางไว้ก็ได้ดำเนินการขึ้นมา มันถูกทักทอวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้ผู้ใดรู้ ไม่ให้ผู้ใดเห็น นอกเสียจากคนสนิทข้างกายเขา..... เพื่อป้องกันการคัดค้านจากท่านปู่ เพื่อป้องกันการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ทุกอย่างเกือบสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่ให้ได้อำนาจสั่งการมาไว้ในมือ แผนการของเขาถึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง
กาลเวลาและความแค้นได้กัดกินจิตใจของเขาให้ตายลงอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นผู้ไร้หัวใจ ไร้น้ำตา ฆ่าทุกคนได้อย่างเลือดเย็น ใช้ประโยชน์จากทุกคนแล้วค่อยโยนทิ้งเมื่อหมดประโยชน์
โดยเฉพาะเจ้ามนุษย์ผู้นี่...หมากเบี้ยแสนสำคัญสำหรับการแก้แค้น เป็นหมากเบี้ยที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเจ้ามนุษย์ผู้นี้คือลูกของขุนไกร...เจ้าของมีดหมอที่ปักตรงหัวใจของพ่อ...มีดหมอที่เขายังเก็บไว้กับตัวเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ลืม...ลืมว่าพ่อตายยังไง
ใช่! เจ้ามนุษย์นี่ต้องชดใช้แทนพ่อของมัน
จิตใจยิ่งคิดเพลิงโทสะในใจยิ่งโหมกระหน่ำ แววตาที่คอยเสแสร้งว่าอ่อนโยนส่องประกายเจิดจ้า หมายมาดจะทำลายทุกสิ่งให้พังพินาศในชั่วพริบตาให้สมกับความแค้นที่มีมาเนิ่นนาน
ไม่ต้องสนใจแผนการใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น ฆ่าพวกมันให้จบๆไปซะดวงวิญญาณของพ่อจะได้สงบ เมื่อข้าจัดการพวกมันทุกคนได้สำเร็จ
แต่ความคิดแสนชั่วร้ายที่เกิดขึ้นมาในจิตใจกลับมาถูกทำลายลงไป ด้วยคำพูดเพียงแค่ประโยคนี้ ประโยคเดียวจากปากไกรทอง คำพูดที่สามารถชโลมจิตใจที่ซึ่งเต็มไปด้วยไฟแค้นให้มอดดับลงได้โดยไม่เหลือแม้แต่ควันไฟให้เห็น
“น้อง...เชื่อว่า...ต่อให้คนคนนั้นกลับมาหาน้องจริง พี่ชาละวัน...ยังคงเป็นพี่ชาละวันของน้อง...ตลอดไป”
“แม้นคนผู้นั้น จะสำคัญกับน้องมากเพียงใดก็ตามงั้นรึ?......”
ไกรทองเงียบไปชั่วขณะ จ้องตากับชาละวัน หันเหสายตามองไปยังผืนน้ำ แล้ววกกลับมามองหน้าร่างสูงอีกครั้งก่อนตัดสินใจข่มความอับอาย โยนทิ้งศักดิ์ศรีลูกชายทิ้งลงน้ำชั่วคราว พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่จริงใจ
“ถึงเขาคนนั้นจะสำคัญต่อน้องมากเพียงใด...แต่พี่ชาละวันก็สำคัญกับน้องไม่ต่างกัน”
ชาละวันยืนนิ่งไม่หือ ไม่อือ ไม่ว่ากล่าวคำใดออกมา นอกจากยืนมองหน้าเด็กหนุ่มตาปริบๆ จนคนพูดรู้สึกหน้าเสียเล็กน้อย
หรือว่าเขาจะพูดอันใดผิดไป...หรือพี่ชาละวันจะไม่ชอบให้พูดเยี่ยงนี้
เฮ้อ! แน่ละ จะมีบุรุษที่ไหนมาพูดคำหวานเลี่ยนใส่บุรุษด้วยกัน ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกแย่ทั้งนั้น ไม่น่าปากพล่อยพูดตามใจคิดเล๊ย! หลวงตาอุตส่าห์สอนไว้ว่า....ให้คิดก่อนพูดไม่ใช่ให้พูดก่อนคิด
ไกรทองนึกโทษตัวเองอยู่ได้ไม่นานก็มีอันต้องตกตะลึง เมื่อจู่ๆชายที่ยืนนิ่งเป็นหินดึงเขาเข้าไปกอดรัดด้วยความดีใจ ไม่สนใจอาการตะลึงตาค้างของคนถูกกอด
สำหรับชาละวันแล้วถึงแม้ว่าคนที่เขากอดอยู่นี้จะบุรุษ ผิวไม่ขาวหรือนุ่มนิ่มเหมือนอิสตรีแถมยังมีผิวกายแข็งและหยาบกระด้างประสาคนทำงานท่ามกลางแดด ฝนมานานปี ยามนี้กลับรู้สึกดีจนอบอุ่นซาบซ่านไปทั้งหัวใจ
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรใจอ่อนให้กับคนที่เขาหมายหัวว่าเป็นศัตรู ควรทำใจโหดเหี้ยมสามารถสมดั่งคำปฏิญาณที่เคยตั้งไว้ตัวเอง
แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ทุกครั้งเมื่อได้มาอยู่ใกล้เจ้ามนุษย์ผู้นี้
“พี่ชาละวันปล่อยน้องเถอะ”
หลังจากที่หายตกใจเพราะถูกกอด ไกรทองก็พยายามดิ้นหนีจากอ้อมแขนนี้...ไม่ตลกเลยนะที่จะมาถูกกอดอยู่แบบนี้หากใครผ่านมาเห็นเข้า คงได้ขำกันไม่ออกแน่ๆ
ทว่ายิ่งขาออกแรงดิ้นหนีให้หลุดจากวงแขนคู่นี้ ตัวเขาก็ยิ่งโดนรัดแน่นจนไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนได้ง่ายๆ ทั้งๆที่รูปร่างฝ่ายนั้นดูออกจะบอบบางกว่าด้วยซ้ำ เหตุฉไนถึงมีกำลังวังชามากเกินตัวได้ถึงขนาดนี้
ท้ายที่สุดไกรทองก็หมดแรงยอมแพ้ให้ชาละวันกอดอยู่แบบนั้นต่อไป...คนเรานี่ดูกันเพียงแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆเสียด้วย
“พี่ดีใจที่น้องไกรทองเห็นว่าพี่สำคัญ ไม่ได้ด้อยค่าอย่างที่พี่นึกกลัว”
ไกรทองตบหลังชายหนุ่มเบาๆ “แน่นอน...”
หัวใจจากที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ได้กลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง
คงจริงอย่างคณัสนันท์เคยกล่าวกับเขาก่อนหน้านั้น...จะละเว้นไว้เสียสักสองสามคนไม่ได้เชียวรึ? โดยเฉพาะไกรทอง
ชาละวันก้มหน้าลงประชิดไกรทองจนปลายจมูกชนกัน ทำเอาไกรทองตกตะลึงจนผงะไปด้านหลัง ลมหายใจของร่างสูงเป่ากระทบใบหน้าจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ใจเต้นระส่ำจนหูอื้อ
ไกรทองพยายามขัดขืนเบนสายตาหนีไปทางอื่น ข่มใจไม่หลงมัวเมากับเสน่ห์และความงามของคนตรงหน้า แต่มันก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกินด้วยเพราะบุรุษผู้นี้ช่างงามนัก และชอบทำสายตาเว้าวอนจนเขาทำใจร้ายกับอีกฝ่ายไม่ลงทุกที ..... น่าเจ็บใจจริงๆ ซึ่งถ้าหากอีกฝ่ายเป็นหญิง เขาคงจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่แบบนี้ ‘ดีไม่ดีอาจจะคว้ามาเป็นเมียก็ได้’
เสี้ยวหน้าที่พยายามทำเคร่งขรึมช่างดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก ชาละวันเลยก้มลงหอมแก้มไกรทองอย่างหมั่นเขี้ยวทีนึง ทำให้เด็กหนุ่มในอ้อมแขนสะดุ้งเฮือกรีบหันหน้ากลับมาทันที และนั่นก็คือสิ่งที่ผิดมหันต์
เมื่อทันทีที่ได้สบตากับร่างสูง เขาก็ได้ถูกความงามของคนผู้นี้ดึงสติไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
...ดวงตาพี่ชาละวันงามนัก
เขาเคยสังเกตเห็นอยู่หลายครั้งว่าสีของดวงตาคู่นี้ช่างแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเสียจริง เพราะมันไม่ใช่ทั้งสีดำ สีตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอ่อน มันดูอ่อนจางกว่านั้นมากคล้ายกับสีเขียวอ่อนปนเหลืองส่องประกาย
‘หยั่งกับดวงตาของสัตว์กินเนื้อ’
เด็กหนุ่มเผลอลูบไล้ใบหน้าหวานล้ำอย่างลืมตัว ถึงจะรู้ว่าไม่สมควรทำแต่เขาก็ยังอยากจะทำ อยากจะพิสูจน์ให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้มีตัวตนอยู่จริงๆ หาใช่เทพยดาจากสวรรค์เบื้องบนแปลงกายลงมาเพื่อหลอกมนุษย์เดินดินเช่นเขาให้หลงใหล หากเมื่อได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากผิวกาย เขากลับเริ่มละโมบอยากสัมผัสอีกฝ่ายให้มากกว่านี้
ไกรทองพยายามข่มกลั้นความรู้สึกที่เริ่มปะทุขึ้นมาในจิตใจ แม้จะว่าไม่ถูกต้อง...แม้จะรู้ว่ามีใครจับจอง...แม้รู้สึกถึงอันตราย...เขาไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว
วินาทีนั้นชาละวันจับไกรทองอุ้มพาดบ่าของตนอย่างมั่นคง ก่อนจะพาออกเดินด้วยสายตาอันมุ่งมั่นและตัดสินใจ โดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของไกรทองเลยสักนิด
“ปล่อยข้านะ!”
ไกรทองออกแรง ทั้งเข่า ทั้งต่อย ทั้งเตะ กัดด้วย แต่ร่างสูงกลับไม่มีสะเทือนเลยสักนิด ร่างกายนี้มันทำด้วยเหล็กไหลหรือไงว่ะ!!! ลงมือขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมปล่อยอีก!
“พี่พอจะรู้จักที่ดีๆอยู่บ้าง น้องไกรทองไม่ต้องกลัวนะ...หึหึ”
ชาละวันหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีต่างจากคนฟังที่เริ่มหน้าซีดขาวไร้สีเลือด แม้ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหนแต่ด้วยสัญชาติญานของเขารับรู้ได้อย่างแม่นยำว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีๆแน่ๆ
โดยเฉพาะเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์แบบนี้
ใครก็ได้!!!
ช่วยข้าด้วย!!!!!!!!!
ความคิดเห็น