คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ลิขิตนำ ; คนอับโชคผู้โชคดี [Re;2]
รีไรท์รอบสอง คราวนี้ไม่ได้แค่แก้คำผิดกับสำนวนเหมือนสองครั้งก่อนหน้านะคะ
แต่เป็นการปรับเนื้อเรื่องบางส่วน พล็อตบางจุด ให้ดูสมเหตุสมผลขึ้นกว่าเดิมค่ะ
ครั้งนี้ย้อมพยายามเช็คคำผิดแล้ว...จริงๆนะ
ถ้าเจอจุดผิด จุดด้อย คำผิดตรงไหนก็ขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ
ลิขิตนำ ; คนอับโชคผู้โชคดี
เสียงแหบคนแก่พร้อมกับคำพูดที่ไม่ค่อยโสภานั้นทำให้อินตงต้องเหลียวหลังกลับไปมองแม้ว่ากำลังรีบอยู่ก็ตาม
“แม่หนู...ดูจากราศีแล้วคงเป็นคนอับโชค โบราณว่าไว้ไร้โชคในโลกนี้มักมีโชคในโลกหน้า เอานี่...ซื้อล็อตตารี่วิญญาณเก็บไว้สักใบเถอะ” คุณยายคนหนึ่งในเสื้อผ้าเก่าขาดแต่สะอาดสะอ้านยืนขว้างไว้พร้อมกับพยายามยามยัดเยียดกระดาษเหลี่ยมบางใบเล็กนั้นอย่างเต็มที่
ให้ตายเถอะ ก็เข้าใจนะว่าเศรษฐกิจยุคนี้ไม่ค่อยดี ค่าครองชีพสูงขึ้นมากทำให้ต้องขวนขวายหาทางทำมาหากินกันมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้กระทั่งคนแก่ยังมีเล่ห์กลใช้เรื่องลี้ลับมาอ้างข้างๆคูๆหลอกให้คนสัญจรซื้อของ
ล็อตตารี่วิญญาณ...เหอะ ของแบบนั้นมีที่ไหนกัน
อินตงคิดพลาง ปรายตามองคุณยายตรงหน้า ใบหน้ากลมมลดูซื่อๆ นัยน์ตาของคุณยายใสกระจ่างแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง รูปร่างเตี้ยคร่อมสวมเสื่อเก่าๆแบบนี้ชวนให้สงสารอยู่หรอก เหลือบตาไปมองกระดาษที่คุณยายยื่นมาก็ดูเป็นกระดาษธรรมดา ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน
“แม่หนู....” เสียงคุณยายดังขึ้นอีกครั้ง
เวลานั้นเองที่หางตาเหลือบไปเห็นนาฬิกา อีกสิบนาทีแปดโมง!!! ตายแล้ว!! ถ้าไม่รีบวิ่งไปตอนนี้ มีหวังตอกบัตรไม่ทันเวลาแน่ ในขณะที่เท้ากำลังจะวิ่งออกไป ท่อนตัวด้านบนกลับถูกรั้งไว้ และไม่ใช่ใครที่ไหน...ที่แท้ก็คือคุณยายเกาะแขนเธอไว้นั่นเอง
ดูท่าจะไม่ปล่อยไปง่ายๆสินะ
“งั้นก็...เอามาใบหนึ่งแล้วกัน”
อินตงตัดปัญหาโดยการซื้อกระดาษที่ดูธรรมดานั้นมาอย่างไม่ใส่ใจ รับกระดาษที่คุณยายคนนั้นเรียกว่า “ล็อตตารี่วิญญาณ” มาอย่างส่งๆแล้วจับยัดเข้าไปในกระเป๋าแล้วเดินจากมาอย่างรวดเร็ว
“เก็บล็อตตารี่ใบนั้นติดตัวจนกว่าจะตายนะ..... แม่หนู....”
เสียงตะโกนแหบของคุณยายดังไล่หลังมา แต่อินตงก็ไม่ได้สนใจมาก ตาจับจ้องไปยังนาฬิกาที่บอกว่าเวลาในตอนนี้ มันสายมากแล้ว ถ้าเธอไม่รีบวิ่งไป คงตอกบัตรเข้าที่ทำงานสายแน่! ไวเท่าความคิด ขาทั้งสองข้างจึงเปลี่ยนจาการเดินเร็วๆเป็นวิ่งเหยาะๆแทน
ซวยอะไรขนาดนี้ ไปทำงานสายในวันประเมินผลงานเนี่ยนะ...ถ้าผู้จัดการรู้เข้า โบนัสประจำปีนี้คงไม่ต้องไปฝันถึง แค่เงินเดือนก็ไม่รู้จะถูกปรับลดลงไหม
ปรี้น!!!
เสียงแตรดังลั่นจนอินตงที่กำลังวิ่งข้ามถนนอย่างเร่งรีบต้องหันขวับไปทางต้นเสียง ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าทำให้นัยน์ตาเธอเบิกกว้าง แข็งขาไม่ขยับ ประสาทและความคิดเป็นต้องหยุดทำงาน เพราะรถเมล์สีเขียวกำลังวิ่งพุ่งใส่ตัวเธอด้วยความเร็ว
ปัง!! โครม!!!
รถเมล์ปะทะกับเธอเข้าอย่างจัง ร่างของอินตงถูกลากไปเป็นทางยาวกับล้อรถ เกิดเป็นรอยเลือดครูดยาวบนพื้นถนน เหตุการณ์นี้สร้างความโกลาหลเป็นอย่างมาก ผู้คนวิ่งเข้ามามุงดูด้วยมาตกใจ บ้างก็กรีดร้อง บ้างก็โวยวาย
“ช่วยด้วยยยยยย มีคนถูกรถชน”
“ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที”
“มีคนตายๆ”
ร่างของอินตงนอนแน่นิ่งท่ามกลางฝูงชน เธอยังคงได้ยินเสียงของฝูงชนอยู่บ้าง แต่ก็ขาดหายไปเป็นช่วงๆ เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานความตายจะมาเยือน ตอนนี้สมองของเธอแทบจะว่างเปล่า ในหัวคิดเรื่องขึ้นมาได้เรื่องเดียว
เซี่ยอินตง เธอนี่มัน ‘สาวอับโชคของจริง’
แสงสว่าง!
บรรยากาศรอบตัวดูเบาหวิว พื้นที่เบื้องหน้าเห็นเพียงหมอกขาวลอยฟุ้งไปทั่ว ตรงหน้ามีแม่น้ำ ไม่สิ เรียกว่าขีดดำๆของอะไรบ้างยาวคดเคี้ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นอกเหนือจากนั้นก็ ‘ว่างเปล่า’
อินตงมองไปทั่วอย่างสนเท่ห์ เธอไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน มาที่นี่ได้ยังไง และมาเพื่ออะไร เธอลองคิดทบทวนดูอย่างช้าๆ เช้านี้เธอขึ้นลุกขึ้นไปทำงานปกติ รถติดมากวันนี้ กว่าเธอจะมาถึงหน้าตึกสำนักงานก็สายมากแล้ว แถมถูกยายแก่ที่ไหนก็ไม่รู้ถ่วงแขนถ่วงขา ยัดเหยียดให้ซื้อของแปลกๆมาอีก หลังจากนั้น...
ปรี้น!!! ปัง!! โครม!!!
ภาพและเสียงของรถเมล์สีเขียวที่วิ่งพุ่งชนตัวเธอไหลแวบขึ้นมาในหัว ความรู้สึกถูกครูดไปตามพื้นถนนและเสียงขาดช่วงของฝูงจีนมุงทำให้อินตงค่อยๆคิดได้
รถชน!! เธอถูกรถเมล์ชนตาย
งั้นที่นี้ก็คือ...ยมโลก
“ใช่”
อินตงสะดุ้งตกใจหันไปมองด้านข้างตัวเองที่ตอนนี้มี ‘มนุษย์หน้ากาก’ มายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“เจ้าชื่อเซี่ยอินตง เกิดวันที่ 6 เดือนมิถุนายน อายุยี่สิบหกปี อยู่ในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ในมิติโลก ใช่ไหม ...”
เธอพยักหน้าเตือยๆตามชายตรงหน้า แม้จะงงอยู่บ้าง แต่เรื่องที่พูดมาก็ตรงกับเธอทุกอย่าง แถมชายหน้ากากยังปรากฏตัวตรงหน้าราวกับรู้ล่วงหน้าแล้วมาดักรอ ดังนั้นคนที่ว่านั้น...ก็น่าจะเป็นตัวเธอเองอยู่ดี
“ล็อตตารี่” ชายหน้ากากพูดจบก็ยืนมือกวักๆแบๆตรงหน้าสักสองสามที
ล็อตตารี่...ล็อตตารี่อะไร เดือนนี้เธอไม่ซื้อหวยหรือล็อตตารี่อะไรทั้งนั้นแหละ ซื้อทีไรไม่เห็นเคยถูก มีแต่เสียตลอดและต่อให้ตอนนี้ถูกก็ไม่ช่วยอะไร ยังไงก็พึ่งถูกรถเมล์ชนตายถูกไปก็ขึ้นเงินไม่ได้ รู้ไปก็เจ็บใจเปล่าๆ
แม้อินตงจะแสดงท่าทางว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ชายหน้ากากที่เธอคิดเอาเองว่าคือ ยมทูต ก็ไม่ยอมลดละ เขายังคงกวักมืออยู่อย่างนั้น ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความรำคาญว่า
“ล็อตตารี่ไง....ล็อตตารี่วิญญาณ”
ล็อตตารี่วิญญาณ!!! ที่ซื้อกับยายแก่เมื่อเช้า ก่อนตายนั้นน่ะนะ
นึกขึ้นได้ อินตงก็รีบหันซ้ายหันขวา...ก่อนล่วงๆคุ้ยๆในกระเป๋าสะพายใบเล็ก กระดาษแผ่นบางเมื่อเช้าที่ตอนนี้ดูยับยู่ยี้ถูกหยิบมาจากกระเป๋า คลี่ออกเล็กน้อยก่อนส่งให้ยมทูตหน้ากากตรงหน้า
ยมทูตรับกระดาษตรงหน้าไปอย่างหัวเสีย พลิกดูอยู่สักพักแล้วหยิบสิ่งที่ดูคล้ายกับหนังสือพิมพ์ ออกมาเทียบดูสองที หันมองหน้าเธอก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่
จะพูดอะไรก็มาสิ...จะมามองหน้าทำไม
ถึงอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่อินตงก็ไม่กล้าผลีผลามเอ่ยอะไรออกไป ซ้ำยังปล่อยให้ชายหน้ากากมองหน้า ส่วนตัวเองก็ได้แต่ยืนบื่อต่อไป
“เจ้ามันโชคดีจริง!!!”
โชคดี...โชคดี...โชคดี
คำสั้นๆนั่นดังก้องอยู่ในหัวของเธออยู่พักใหญ่ สมองพลางคิดทบทวนอย่างรอบครอบว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดหรือคิดไปเอง แต่อีกฝ่ายพูดคำว่า ‘โชคดี’ จริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ซินแซ่ หมอดูไหนๆก็ล้วนแต่ทักว่า
‘ใบหน้าหม่นหมองเป็น คนอับโชค’
มาคราวนี้ดันมีคนบอกว่า “โชคดี” เลยแทบจะตั้งตัวไม่ทัน “เหอ...ข้าไม่ได้เจอคนโชคดีมากๆแบบนี้มานานแล้ว ซื้อปุบ ตายปับ รับรางวัลทันที แถมยังเป็นรางวัลแจ็คพ็อตอีกต่างหาก จุ๊ๆ ดูท่าตอนเป็นมนุษย์เจ้าคงเกิดมาอับโชคโดยสิ้นเชิงสินะ น่าสงสารจริงๆ”
ชายหน้ากากที่ตอนแรกดูเงียบขรึม ตอนนี้กลับพูดจ้อไม่หยุด ทั้งยังพล่ามแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งนั้น ซื้อปุบตายปับอะไร แล้วยังจะรางวัลแจ็คพ็อตนั่นอีก แต่ไม่ทันที่อินตงจะเอ่ยปากถาม ยมทูตหน้ากากก็ชิงพูดตัดหน้าเธอซะก่อน
“เจ้าคงสงสัยมากสิ เอาเป็นว่าก่อนเจ้าจะชะตาขาดนั่น เจ้าดันบังเอิญซื้อล็อตตารี่วิญญาณของยมโลกมาหนึ่งใบ หลังจากนั้นเจ้าก็ตายและบังเอิญว่าฉลากที่ซื้อไปนั้นเป็นใบรางวัลแจ็คพ็อตที่มีค่าสูงสุดในหมู่รางวัลที่ยมโลกแจกยังไงล่ะ”
“อ่อ...เพราะอย่างงี้ คุณถึงบอกว่าฉันโชคดีสินะ”
โชคดี เพราะถูกรางวัลสินะ
แล้วมันดีตรงไหน! ถึงจะบอกว่าถูกรางวัลแจ็คพ็อตมูลค่าสูงสุด แต่ยังไง...เธอก็ตายไปแล้ว จะไปได้เสวยสุขตอนไหนฮะ!!!
“อะ...ข้ารู้ๆ รางวัลแจ็คพ็อตมันดีตรงไหนนี่คือสิ่งที่เจ้าจะถามสินะ เจ้านะเป็นดวงวิญญาณที่พึ่งตายใหม่ๆจึงยังไม่รู้จักความทรมานของการอคอย เห็นนั้นไหม...นั่นคือแถวต่อรอไปเกิดใหม่ของดวงวิญญาณคนตายยังไงล่ะ”
อินตงมองตามปลายนิ้วของยมทูตไปยังเส้นยาวคดโค้งสีดำที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา มองจากตรงนี้แล้วเห็นเป็นเส้นขีดยาวที่ไม่มีจุดสิ้นสุดเท่านั้น
ต่อแถวเพื่อรอไปเกิดใหม่ ... แถวยาวขนาดนั่นไม่รู้ว่าชาติไหนถึงจะได้ไปเกิด
“ฉันต้องไปต่อแถวที่ปลายสุดนั่นใช่ไหม? นานแค่ไหนถึงจะไปเกิดใหม่กัน” เธอเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ได้ แถวที่ไม่มีจุดสิ้นสุด สะกดสายตาเธอไว้ ในหัวพลางคิดว่าถ้าต้องต่อแถวยาวขนาดนั่นร้อยปีก็คงยังไม่ได้เกิดใหม่
“เจ้าไม่ต้องต่อแถว นั่นแหละคือรางวัลของเจ้า”
“ฮะ นี่นะเหรอคือรางวัล” เธอถามย้ำยมทูตให้แน่ใจอีกครั้ง พอเห็นยมทูตพยักหน้าน้อยๆ ภายใจก็รู้สึกหดหู่ขึ้นกระทันหัน
นี่คือรางวัลแจ็คพ็อตที่มีค่าสูงสุดงั้นเหรอ ... แค่ไม่ต้องต่อแถววิญญาณเนี่ยนะ ดีตายล่ะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรสักอย่าง
“ข้าได้ยินสิ่งเจ้าคิดนะ วิญญาณใหม่ รางวัลนี่สูงค่ามาก รู้ไหมว่าวิญญาณบางดวงต่อแถวมาแล้วพันปีก็ยังไม่ได้ไปเกิด”
“แต่ก็ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย สุดท้ายก็ต้องไปตรากตรำใช้ชีวิตอยู่ดี!”
“ใครว่ารางวัลเจ้ามีแค่นั้น...เจ้ายังขอพรอะไรก็ได้ 4 ข้อก่อนไปเกิดด้วยนะ”
“ขออะไรก็ได้งั้นเหรอ” อินตงถามเสียงสูง นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ถ้าเธอสามารถขอพรอะไรก็ได้จริง รางวัลล็อตตารี่คราวนี้มันดียิ่งกว่าดีมหาศาล
“อะไรก็ได้...ถ้าไม่ผิดกับหลักสวรรค์และปรโลกล่ะก็นะ”
ทันทีที่ยมทูตตอบกลับมา เซี่ยอินตงก็ดีใจตัวลอย กระโดดโลดเต้นไปมายิ่งกว่าได้เงินพันล้านมาครอบครอง
หึ...แค่มีพร 4 ข้อนี้ เธอก็ไม่ต้องเป็น สาวอับโชคเซี่ยอินตง ในที่สุดฟ้าเห็นใจเธอ ยอมให้โชคกับเขาบ้าง ตอนนี้เธออยากจะกราบยายแก่เมื่อเช้าที่อุตส่าห์ถ่วงแขนรั้งขาไว้ จนเธอตัดใจซื้อล็อตตารี่บ้าๆแต่วิเศษสุดนี้ แล้วยังโดนรถเมล์ชนตาย ไม่ต้องใช้ชีวิตเป็นอินตงผู้น่าเบื่อ อินตงผู้อับโชคอีกต่อไป
“เอาล่ะๆ ข้ารู้ว่าเจ้าดีใจ ... ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้รางวัลของเจ้าแล้ว เจ้าพร้อมขอพรและไปเกิดใหม่รึยัง” ยมทูตเอ่ยปากถาม
“พร้อมแล้วๆ” อินตงขานรับด้วยเสียงสดใสอย่างมีความสุข
“ข้อแรกที่เจ้าอยากขอก็คือ....”
“เดี๊ยว! คุณก็อ่านใจได้นิ ทำไมต้องให้ฉันพูดออกมาด้วยเล่า” เรื่องบางเรื่องเธอก็อายนะ ไม่คิดบ้างรึไงกัน จะให้พูดออกมาตรงๆ บางครั้งมันก็...กระดากปาก
“ข้ารู้ๆ แต่กฎบอกว่าเจ้าจะต้องพูดออกมาจากปากและเสียงของเจ้าเอง ถ้าไม่เช่นนั้นก็ถือว่ายังไม่ได้ขอพรใดๆ”
อินตงรับรู้ เธอเพียงหยักหน้าเบาๆสองทีก่อนจะขอคำขอแรกออกมาอย่างกระมิดกระเมี้ยน มันเป็นคำขอที่เรียบง่ายและธรรมดาข้อหนึ่งแต่กลับทำให้เธอหน้าแดงซ่านว่า
“ข้อแรกขอให้เกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่...เออ..หน้าตา...สวย..สวยแบบมากๆๆๆ”
คิดย้อนกลับไปเธอก็สะท้อนใจตัวเองทุกทีตั้งแต่เกิดมาเป็น เซี่ยอินตง เธอก็มีชีวิตที่ธรรมดาเกินไปทุกเรื่องทั้งหน้าตา ผิวพรรณ ปัญญา ความคิด ร่วมไปถึงฐานะ ล้วนแต่ดูพื้นๆบ้านๆไม่มีอะไรในน่าอวดอ้างได้สักเรื่อง โดยเฉพาะหน้าตาบ้านๆของเธอที่ทำให้เธอต้องอกหักถึงสามครั้งสามครา แล้วฝ่ายชายก็ทิ้งเธอไปหาสาวสวยหมวยน่ารักคนอื่น จะไปศัลกรรมก็ทำไม่ได้การเงินไม่อำนวย เวลาก็ไม่อำนวย ถ้าให้แต่งหน้าอัพความสวยก็ยิ่งไม่ไหว เพราะไม่ว่าจะไปเรียน ไปอ่าน ไปลองแค่ไหนสุดท้ายก็ออกมาแย่ ไม่ได้ตามอย่างที่คิดไว้ทุกทีจนเธอถอดใจซะแล้ว
ไหนๆก็เลือกเกิดได้ งั้นขอเกิดเป็นสาวสวยรวยเสน่ห์สักทีเถอะ
“ข้อที่สอง..เอาเป็นเก็บจิตสำนึกชาติที่แล้วไว้ก็แล้วกัน”
เห็นหนังหลายเรื่อง นางเอกไปต่างภพต่างชาติต่างมิติทีไร เป็นต้องมีความทรงจำ ไม่ก็จิตสำนึกของชาติก่อนหน้าทุกที ก็ไม่รู้ทำไมหรอกนะแต่สำหรับเธอนั้น ก็เพื่อ...การเป็นอัจฉริยะยังไงล่ะ
ถ้าเธอเป็นนางเอกพวกนั้นมีความรู้ความสามารถแบบที่คนอื่นไม่มี...เธอคงไม่มานั่งงำประกายบ้าบอหรอก คงจะรีบใช้ๆมันตั้งแต่มีโอกาส และก็ขอตำแหน่งอัจฉริยะแห่งยุคไปซะ พอเรื่องแบบนี้เกิดกับเธอเองจริง แน่นอนว่าเธอต้องขอคำขอนี่แน่ อีกอย่างเธอยังไม่อยากทิ้งประสบการณ์ชีวิตของเซี่ยอินตงหรอกนะ ยังไงนั้นก็ ‘เคย’ มีชีวิตเป็นสาวอับโชค ไม่แน่ว่าประสบการณ์ชีวิตในชื่อ เซี่ยอินตงอาจจะไปเป็นประโยชน์อะไรในชาติหน้าก็ได้
“ข้อที่สาม...เอิ่ม...เออ..”
ชักจะคิดไม่ออกแล้วสิ ที่อยากได้จัดๆก็ขอไปหมดแล้วด้วย เอาอะไรดีล่ะ ... ใช่แล้ว ต้องเรื่องนี้
“ขอให้เป็นคนโชคดี....ดะ..ได้ไหม”
ทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้ไม่มีคำว่า โชคดี สลักอยู่ในชีวิตเห็นทีเรื่องนี้คงเป็นปมด้อยมากที่สุดในใจเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจขอพรข้อนี้ไป แต่เมื่อยมทูตผู้รับคำขอของเธอไม่แสดงท่าทีตอบสนองเช่นข้ออื่น อินตงจึงเริ่มรู้สึกใจเสีย เลยอ้อมแอ้มถามกลับไปแบบกล้าๆกลัวๆ
“เจ้าจะขอพรข้อนี้จริงรึ”
“ก็จริงนะสิที่ผ่านมาชีวิตฉันไม่มีโชคให้ได้ใช้เลยนะ ยังไงซะเกิดมาเป็นคนโชคดีก็ดีกว่าอยู่แล้ว”
“แต่แบบนั้นโชคทุกชาติของเจ้าจะมารวมอยู่ในชาติเดียว ชาติต่อๆไปเจ้าจะไม่มีโชคอีก ทั้งพอตายแล้วก็จะไร้โชคไม่มีทางถูกล็อตตารี่รอบสองได้หรอกนะ”
อินตงได้ฟัง ตาลุกวาวด้วยความตกใจ ‘ไม่มีโชคอีกไปต่อไป...ทุกชาติต่อจากนี้จะต้องเหมือนชาติที่เกิดเป็นเซี่ยอินตง แล้วแบบนี้ใครจะไปขอเล่า’
“ไม่เอาๆ ไม่เอาข้อนั้นแล้ว”
คิดใหม่ๆ มันต้องมีอย่างอื่นบ้างสิที่ฉันอยากได้
ขณะที่อินตงกำลังทุ่มเทความคิด สายตาก็สะดุดเข้ากับ ‘จี้หยกดำ’ ที่ห้อยบนคอของยมทูตหน้ากากตรงหน้า แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ อินตงมองจี้หยกพลางถามยมทูตว่าจี้หยกนั่นคืออะไร
“นี่นะรึ ... มันคือหยกปรภพ คอยรวบรวมเสี้ยวพลังชีวิตไว้ให้อยู่ภายในกายของเจ้าของ”
“ถ้ามนุษย์สวมจะเกิดอะไรขึ้น”
“มันก็ช่วยเก็บพลังชีวิตเจ้าไว้ในร่างของผู้สวม ทำให้บาดแผลหายเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก ช่วยให้รอดตายได้ง่ายขึ้นยังไงเล่า”
อินตงยิ่งมองก็ยิ่งชอบจี้หยกนั่น ยิ่งได้ฟังคุณสมบัติของมันก็ยิ่งมั่นใจว่ามันต้องมีประโยชน์กับเธอ เข้าสักวัน
“ข้อสามเอาเป็น ท่านยมทูตจงยกหยกปรภพให้ฉันเถอะนะ ก็แล้วกัน”
“นะ...นี่ เจ้าจะขออย่างนี้ จริงรึ”
“ก็จริงนะสิ ตกลงได้ใช่ไหม”
ยมทูตเห็นอินตงยืนยันหนักแน่น ก็พร่ำบ่นเสียดาอยู่ในใจ หยกปรภพนี้ ใช่ว่าจะหาซื้อหาใช้กันได้ง่ายๆ เขาเองเป็นยมทูตกว่าห้าร้อยปีจึงจะจี้หยกนี้มา ใส่ได้ไม่ถึงสิบปีกลับต้องยกให้วิญญาณมนุษย์จากจรดวงหนึ่ง นับว่าอาภัพแท้ ท้ายสุดแล้วก็จำใจพยักหน้าตกลงไป
ด้านอินตงก็ยิ้มน้อยชอบใจที่ตนเป็นฝ่ายขอสำเร็จ ขอหยกปรภพมาได้คราวนี้ ถ้าจะดีจริง ยังไงเสียมีเครื่องมือกันความตายไว้ย่อมปลอดภัยกว่า คงไม่มีใครอยากตายจริงไหม
เอ๊ะ! ใช่แล้วไม่มีใครอยากตาย แล้วนี้ตอนไปเกิดใหม่ฉันจะจำได้รึเปล่าว่าตัวเองตายไปลงมาปรโลกแล้วนะ
“ถ้าฉันเก็บจิตสำนึกชาติที่แล้วไว้แบบนี้จะจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอยู่ในปรโลกนี้ได้รึเปล่า”
“เจ้าเก็บแต่สำนึก...อืม...ข้าว่าคงจำไม่ได้หรอก”
เหอ...โชคดีไป หากช่วงเวลาที่อยู่ในโลกนี้ได้ ชีวิตคงดูหน้าเบื่อพิลึก ไหนจะรู้โตมาต้องสวย ไหนจะยังรู้ว่าตัวเองทนทานตายยาก ขืนจำเรื่องพวกนี้ได้คงต้องใช้ชีวิตเปลืองเกินเหตุแน่
“พรข้อที่สี่ เจ้ายังไม่ได้ขอเลยนะ”
ยมทูตเห็นอินตงที่ตอนนี้ดูไม่กระตือรือร้นกับพรวิเศษเหมือนตอนแรกเงียบไป ก็รีบเร่งให้เธอขอพรให้เสร็จ เขาจะเสร็จงานเสร็จกิจเสียที
“นี่ไงๆกำลังคิดอยู่... ถามหน่อยสิยมทูต ถ้าหากฉันไม่ขอแต่เก็บค่อยขอได้รึเปล่า”
“ไม่ได้ๆ หากเจ้าไม่ขอก่อนไปเกิดถือว่าพรขอที่ไม่ขอเป็นอันโมฆะ ไม่สามารถเก็บขอต่อได้”
อินตงได้ฟังก็แอบเสียดาย ตอนนี้เธอคิดไม่ออก เรื่องอยากขอก็ขอไปแล้ว บ้างเรื่องขอไปก็ไม่ได้ ตอนนี้เธอต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ
เซี่ยอินตงเอย ใช้สมองน้อยๆของเธอคิดทีสิ อะไรที่เธอยังอยากได้แล้วมันมีประโยชน์ในชาติหน้าบ้าง
ใช่แล้ว! พรสวรรค์ สมัยเรียนหนังสือเธอมักจะแอบอิจฉาเพื่อนคนนู่นคนนี้อยู่เสมอ ทั้งคนแซ่เฉินที่วาดรูปสวย คนแซ่มู่ที่เรียนหนังสือเก่ง คนแซ่โจวที่ร้องเพลงเพราะ ทุกคนมีสิ่งที่เธอไม่มี ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มี สิ่งที่เธอขาดแคลนไปมากพอๆกับโชค มันคือ ‘พรสวรรค์’ แต่...จะขอพรในเรื่องไหนดีนะ
มันต้องเป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้และอยากได้มากที่สุด มันคือ...
“พรสวรรค์ทางด้านดนตรี ขอสุดท้ายขอให้มีพรสรรค์ด้านดนตรี”
“ด้านดนตรี!! แล้วจะเป็นในเรื่องใดกันล่ะ ช่วยขอให้ชัดเจนมากกว่านี้ได้รึไหม”
“ขอแค่เป็นด้านดนตรี จะเป็นเรื่องไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ” อินตงขานรับเสียงดัง
สมัยเรียนม.ปลาย แฟนคนแรกเลิกกับเธอแล้วหันไปคบกับคนแซ่โจวที่เป็นนักร้องประสานเสียงประจำโรงเรียน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แฟนคนที่สองก็มีแฟนคนใหม่เป็นนักศึกษาเอกเปียโนจากมหาวิทยาลัยดนตรี แฟนคนสุดท้ายที่คบกันตอนสมันทำงานก็บอกเลิกกับเธอด้วยเหตุผลบ้าๆว่า ‘โทษนะ อินตงแต่เธอดูไม่มีความน่ารักแบบที่ผู้หญิงควรจะมีเลย’ ก่อนจะไปแต่งงานกับ ซินซิน เพื่อนร่วมงานคนสนิทในแผนกเดียวกับเธอซึ่งแทบจะไม่มีจุดต่าง ทั้งด้านหน้าตา การศึกษา แน่นอนว่าการที่เธอสนิทกับซินซิน เธอรู้ดีว่า นิสัยของซินซินก็คล้ายกับเธอ จุดต่างระหว่างเธอกับซินซินมีเพียงข้อเดียวคือ “ซินซินชอบร้องเพลง!” ศึกรักทั้งสามหน อินตงต้องพ่ายแพ้ให้กับสาวนักดนตรีถึงสามครา เวลานี้มีสิทธิขอแล้วทำไมเธอไม่คิดให้ออกตั้งแต่แรกนะว่า อยากมีพรสวรรค์ด้านดนตรี
จบคำขอข้อสุกท้าย ยมทูตเพียงแต่รับคำสั้นๆ แล้วถามเธอยืนยันคำขอทั้งสี่ข้อของเธอเหมือนพนักงานต้อนรับทางโทรศัพท์ เมื่อแล้วเสร็จยมทูตหน้ากากก็ปลดจี้หยกปรภพออกจากคอแล้วสวมมันให้เธอ
สาบานได้ว่าเธอแอบเห็นแววตาเสียดายจากใบหน้าใต้หน้ากากนั้น ดูท่าเธอจะได้ของดีมาจริงๆ เซี่ยอินตงยิ้มเล็กยิ้มน้อยในใจ ก่อนจะเดินตามยมทูตไปยังบ่อมิติ ยมทูตอธิบายเธอถึงขั้นตอนการเกิดใหม่ของดวงวิญญาณว่า
“วิญญาณจะเกิดในมิติโลกต่างๆตามความสมดุลของธรรมชาติ ไม่สามารถเลือกเกิดที่โลกใดโลกหนึ่งได้ ก่อนจะเกิดนั้นก็ต้องดื่ม ‘หม้อยาลิขิต’ เพื่อลิขิตดวงชะตาและกายเนื้อของดวงวิญญาณนั้น”
ว่าจบหม้อยาลิขิตก็ถูกยื่นมาตรงหน้า อินตงรับไว้อย่างว่าง่าย จากการมองดูแล้วถ้วยยาตรงหน้าก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร มันเป็นเพียงถ้วยยาขนาดเหมาะมือใบหนึ่งที่มีน้ำขาวขุ่นเหมือนน้ำนม มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ หลังจากลองชิมจึงได้รู้ว่า รสชาติ...ห่วยแตก
“พร้อมที่จะเกิดรึยัง วิญญาณใหม่”
อินตงพยักหน้าเล็กๆเป็นคำตอบ ก่อนเดินซัดๆเซๆเข้าจับมือยมทูตหน้ากากที่ยื่นมา ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากดื่มลงไปเธอถึงได้รู้สึกมึนๆ ได้แต่คิดว่าคงเป็นอาการหลังดื่มหม้อยาลิขิต อินตงเดินตามมือจูงของยมทูตไปเรื่อยๆไปยัง ‘หลุม’
“ไปดีมาดีนะ”
แรงผลักถูกกดลงบนไหล่ทั้งสองข้างจนร่างที่ทรงตัวไม่ค่อยดีของเธอโน้มตกลงไปในหลุมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทุกอย่างรอบตัวหมุนเร็วขึ้นจนอินตงตามไปทัน ไม่นานนักก็หมดสติไป
สวัสดีคะ นักอ่านทุกท่าน ย้อมเองคะ
จบไปแล้วสำหรับบทนำของเรื่องนี้ หวังว่าจะไม่สั้นเกินไปนะ
ถ้ามีคำผิด จุดผิดตรงไหน สามารถแนะได้ ทักได้ด้วยความสุภาพคะ
ความคิดเห็น