ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    渐渐沉没 ถลำลึกทุกขณะจิต

    ลำดับตอนที่ #2 : ลิขิตที่ 1 ; ปณิธาน [Re;1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 361
      4
      22 เม.ย. 58



    รีไรท์อีกครั้งคะ ... ครั้งนี้ย้อมเปลี่ยนพล็อตบางจุดด้วย
    ให้นิยายมันดู 'เฮ้ย!...มันมีอะไร' มากขึ้น
    แก้คำผิดและสำนวนหลายส่วน หวังว่าจะไม่มีคำผิดนะ
    หากนักอ่านท่านใดอ่านเจอสามารถทักได้นะคะ






    ลิขิตที่ 1 ; ปณิธาน




              หลังจากถูกรถชนตาย พอมารู้สึกตัวอีกที สาวออฟฟิศอย่าง เซี่ยอินตง ก็มาเกิดใหม่ในร่างอื่นซะแล้ว ไม่สิๆต้องเรียกว่าย้ายวิญญาณมาอยู่ในร่างคนอื่นซึ่งบังเอิญว่าร่างนั้นเป็นเด็กแรกเกิดพอดีมากกว่า

    เด็กน้อยเอย ไม่รู้ว่าอะไรทำให้วิญญาณหนูออกจากร่างหรอกนะ แต่เซี่ยอินตงคนนี้ ขอสัญญาว่าดูแลร่างนี้ให้ดีเสมือนเป็นชาติเกิดใหม่ของตัวเกิดเลยละนะ แม่หนู

    บอกกล่าวดวงวิญญาณเด็กน้อยที่พึ่งเกิดแต่ไม่ได้ใช้ชีวิตนี้เสร็จ นางก็เริ่มสำรวจข้อมูลร่างใหม่นี้ซึ่งความจริงเป็นอันทำให้อินตงปลื้มปลิ่มเพราะร่างใหม่มันช่างดีเหลือแสน เล่าได้คราวๆว่า โลกใหม่ที่นางมาเกิดเป็นโลกที่ดู คล้ายกับประเทศจีนในยุคโบราณ ตัวนางเกิดในสกุลพ่อค้าที่ร่ำรวย ได้นามว่า “เจียงซู่เหมย” ซู่ที่แปลว่าสวย และ เหมยที่หมายถึงดอกเหมย เพราะเกิดในฤดูหนาวที่มีดอกเหมยบานสะพรั่งพอดีหมายความว่า ชาตินี้นางเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกินไม่ต้องไปลำบากตรากตรำทำงานเหมือนชาติก่อนได้รู้แค่นั้นอินตงก็ปราบปลื้มเต็มทีแล้ว

    หึ...แต่เหมือนฟ้ามีตา เริ่มคิดได้ว่า “เอ๊ะ! นั่นมันเซี่ยอินตงผู้อับโชคนิ ทำไมร่างใหม่ถึงได้โชคดีขนาดนี้เล่า” ถึงได้กลั่นแกล้งนางให้พ่อแม่ไม่รัก ครอบครัวหมางเมิน เพราะ เจียงซู่เหมยนางนี้ เป็นลูกที่เกิดแต่ ฟูเหรินสาม[1] ผู้ไม่ที่โปรดปรานของเหล่าเหยีย[2] ทั้งนางยังเกิดเป็นหญิง ทำให้ฟูเหรินสามผิดหวังพาลไม่ชอบนางไปด้วย ดังนั้นแม้จะเกิดให้ครอบครัวดีเลิศแต่ก็ไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่ แม้กระทั่งบ่าวไพร่ก็ยังไม่เคารพนาง เรียกได้ว่า “มีอยู่เหมือนไม่มี” ที่จะดีอยู่สักหน่อยก็บ้านช่องกว้างขวาง ห้องนอนห้องพักก็สะดวกสบายสวยหรูตามตำหรับคนรวยดี ที่สำคัญคืออาหารอร่อย กินอิ่มสามมื้อ มีเงินใช้ไม่ขาดมือ เพราะเตี่ย[3]ชาตินี้แม้จะไม่ชอบขี้หน้านางนักแต่ก็ยังรักลูกในไส้ ไม่ปล่อยให้ลำบาก

    เอาเถอะมีได้ก็มีย่อมมีเสีย โชคดีมากไปชีวิตจะจืดเปล่า ครึ่งๆกลางๆแบบนี้ล่ะดีแล้ว

    เผลอแปลบเดียวนางก็อยู่ในร่างนี้มาหกปี ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้อินตงแทบจะไม่ได้ก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์สกุลเจียง ส่วนใหญ่ได้หมกตัวอยู่แต่ในเรือนต้นหลิวมีได้ออกไปชมนกชมไม้บ้างในช่วงเทศกาล

    เรือนต้นหลิวที่ว่านี้เป็นเรือนริมสระน้ำ บรรยากาศคล้ายกับบ้านเรือนแบบเจียงหนาน[4] บริเวณริมสระยังมีต้นหลิว[5]ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งต้น ทำให้คนในบ้านพากันเรียกว่าเรือนต้นหลิว จะว่าไปก็เป็นที่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว

    อินตงพักอาศัยอยู่ในเรือนนี้พร้อมกับ ฟูเหรินสาม หรือ เหนียง[6] ของนาง ถึงจะอยู่เรือนเดียวกันบ้านเดียวกัน แต่หลังจากนางโตได้สามขวบเหนียงก็แทบจะไม่พูดคุยกับนางอีก นางมีสาวใช้ประจำตัวหนึ่งคนชื่อ ถิงจู ซึ่งก็เป็นเด็กที่แก่กว่าร่างของเธอแค่ไม่กี่ปี วันเวลาส่วนใหญ่ของนางก็หมดไปกับเรื่องเล็กน้อยอย่างการพูดคุยกับถิงจูเท่านั้น ชีวิตในร่างนี้จึงนับว่าสบายที่สุดที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาเล็กน้อยภายในครอบครัว

    ร่างนี้มีพี่ชายสองคน พี่สาวหนึ่งคน พี่ชายคนโตเป็นบุตรคนแรกของสกุลเกิดแต่ฟูเหรินรองนามว่า เจียงเต๋อเหว่ยนางไม่ค่อยสนิทนัก อายุของนางกับพี่ชายคนโตค่อนข้างห่างกันมากทำให้ไม่ค่อยได้ไปยุ่งเกี่ยว วันๆพี่คนโตก็มักจะเก็บตัวในหอหนังสือ รูปร่างหน้าตานางเองก็บอกได้ไม่ชัดนัก

    พี่ชายคนรองเป็นบุตรคนที่สองของสกุลเกิดแต่ฟูเหรินใหญ่นามว่า เจียงเต๋อซีอายุมากกว่านางสองปี ตลอดหกปีมานี้นางไม่เคยมีเรื่องผิดใจกับพี่รอง แต่ก็ไม่สนิทเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเต๋อซีเป็นลูกชายคนโปรดของเตี่ย อีกส่วนคงเพราะฟูเหรินใหญ่คอยกันท่า เสี้ยมสอนไม่ให้มาสนิทสนมกับนางนักเพราะกลัวติดเคราะห์โศก แล้วทำไมถึงกลัวติดเคราะห์....นั่นก็เพราะ

    “ซือเม่ย[7]มีเคราะห์ ซินแซ่ร้องทัก เด็กอัปลักษณ์ เกิดมาพร้อมหยก...” เสียงร้องเพลงหวานใสของเด็กผู้หญิงดังมาจากสวนหินหน้าเรือนต้นหลิว คนที่ร้องเพลงคือ พี่สาวของนางในร่างใหม่นามว่า เจียงซู่จินซึ่งเกิดในวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกันกับร่างใหม่ของอินตงไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ฐานะในบ้านต่างกันราวฟ้ากับเหว ซู่จินเกิดแต่ฟูเหรินรองทำให้เตี่ยไปเยี่ยมนางก่อน ตอนเกิดเลยนับศักดิ์นางเป็นพี่ ร่างอินตงเป็นน้อง     ซู่จินเป็นลูกสาวคนโปรด ส่วนนางเป็นคนที่ไม่มีใครชอบ แม้จะเกิดในวันเดียวกันแต่ซู่จินกลับเป็นชื่อที่เตี่ยบรรจงนั่งคิดให้ แต่กับชื่อของอินตงนั้นเพียงเพราะเดินผ่านระเบียง ก่อนเข้าห้องเห็นดอกเหมยบานจึงตั้งชื่อนางว่าซู่เหมย ดังนั้นตลอดเวลาหกปีมานี้ คนที่ไม่ถูกกับนางมากที่สุดเห็นจะเป็น ซานเจี่ย’ ของนางผู้นี้

    เพลงที่ซานเจี่ย[8]ของนางร้องนั้น สำหรับนางก็คือ... “เพลงประจำตัว” ที่พี่สาวบรรจงแต่งและขับร้องให้ฟัง เพียงแต่เนื้อเพลงออกแนวเสียดสีสักเล็กน้อย นั่นเพราะตอนนางแรกเกิดนั้นมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นอยู่หนึ่งอย่าง คือเกิดมาพร้อมกำหยกดำไว้ในมือ หลังจากนั้นสองสามวันก็มีซินแซ่มีทักหยกดำนี้ว่า

    “เป็นหยกดำคนตาย มีแต่วิญญาณเท่านั้นที่สมควรถือครอง”

    บ้านสกุลเจียงเลยวิตกกันใหญ่ คิดเอาว่าหยกดำนี้เป็นสิ่งอัปมงคล เป็นของคนตายเชื่อว่าวิญญาณในร่างนี้เป็นภูตผีปีศาจไม่ใช่วิญญาณเจ้าของร่าง เลยทำตัวห่างเหินกับเจ้าของอย่างนาง เคราะห์ดีที่เหล่าเหยียไม่ไล่นางออกจากบ้าน เพราะตัดใจทิ้งลูกในไส้อย่างนางไม่ลง

    คนโบราณก็งมงายไม่เข้าท่า ภูตผีปีศาจอะไรกัน ถึงจะเดาถูกเรื่องไม่ใช่วิญญาณเจ้าของร่าง แต่เซี่ยอินตงที่มาอยู่ใหม่ก็เป็นวิญญาณมนุษย์นะ หาใช่ผีสางที่ไหน

    อินตงนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาหกปี ทุกคนต่างพากันหนีหน้านาง ทั้งตอนนี้ยังมี เพลงประจำตัว ร้องประกอบก็ยิ่งสะท้อนใจ ก้มหน้าคอตกก็เห็นจี้หยกดำอัปมงคลตัวต้นเหตุ น้ำหยดก็ไหลลงมา หาใช่เพราะความเศร้าแต่เป็น ความโกรธ ทำไมนางถึงทำบุญขึ้น ไม่โชคชาติก่อนชาติถัดมาก็ยังไม่มี ชีวิตอยู่แบบอดสูในบาปที่ตนไม่ได้ก่อ ทั้งไม่มีมูลนี้ด้วย ก่อนจะระบายโทสะใส่ซานเจี่ยของตนอย่างลืมตัวจนไล่เตลิดนางไป

    แต่ไหนแต่ไร...ซานเจี่ยก็คอยแกล้งนางอยู่เป็นประจำ หนักบ้าง เบาบ้างตามประสาเด็ก นางเองก็โต้กลับในบางครั้งที่เหลืออดแต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมาสักครั้ง คราวนี้แค่เพลงชินหูเพลงหนึ่งกลับทำให้นางหลั่งน้ำตา เรื่องนี้อินตงเองก็หาคำอธิบายไม่ได้

    อาจเป็นลางบอกเหตุ...อาจมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับนางเร็วๆนี้ น้ำตาของนางเลยไหลเพื่อปลอบใจอนาคตก็เป็นได้

    “คุณหนูสี่ เหล่าเหยี่ยให้มาตามเจ้าคะ”

    ถิงจูรายงานเสียงค่อย แม้ตามจริงเวลานี้นางอยากปล่อยคุณหนูของนางสงบใจอยู่ตามลำพัง แต่มีความจากเจียงเหล่าเหยีย ไม่รายงานมิได้ จึงจำใจเรียนความออกไป

    อินตงปาดน้ำตาน้อยๆที่ข้างแก้ม ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พยักหน้าให้ถิงจูเป็นสัญญาณ ก่อนเดินไปโถงใหญ่ ทางด้านเตี่ยที่รอนางอยู่ที่โถงใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเห็นนางก็เดินปรี่เข้าทันที

    “เหมยเอ๋อร์[9] เจ้ามาแล้ว เตี่ยกำลังรอเจ้าอยู่เชียว”

    “เหมยเอ๋อร์น้อมทักเตี่ย ขออภัยที่ให้เตี่ยรอนาน”

    อินตงคำนับเตี่ยตามมารยาท เตี่ยรับคำนับก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

    “เหมยเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นมากเทียว เตี่ยเห็นว่าปีนี้เจ้าจะอายุหกขวบแล้วเลยให้บ่าวไปเรียกเจ้ามาพบ วันนี้เตี่ยจะพาเจ้าซื้อผ้าดีหรือไม่”

    หกปีที่ผ่านมาเตี่ยไม่คิดจะสนใจแยแสนางสักนิด วันนี้แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง เหตุใดจึงมาเอาใจนาง ชวนนางไปซื้อผ้าได้ เห็นทีหิมะคงตกกลางฤดูร้อนกระมัง

    อินตงรับคำเตี่ยอย่างสุภาพ เตี่ยเองก็ดูดีใจกับท่าทีของนางรีบเอ่ยปากให้บ่าวเตรียมรถม้าทันที หลังจากนั้นไม่นานนัก บ่าวชายผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่ารถม้าได้เตรียมเสร็จแล้ว เตี่ยเข้ามาประคองนางและพากันจูงมือไปกันหน้าคฤหาสน์สกุลเจียง

    บรรยากาศแบบนี้อินตงก็เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นสุขมาก ตั้งแต่โตมาในสกุลเจียง นางเห็นเตี่ยยิ้มแย้ม อ่อนโยนเช่นนี้แค่กับเต๋อซีและซู่จินเท่านั้น

    ดูท่าน้ำตาครานั้นจะมิใช่น้ำตาร่ำอนาคตแต่เป็นร่ำโศกแก่อดีตเสียมากกว่า

    สองพ่อลูกพูดคุยกันไปตลอดทางเดิน จนกระทั่งไปถึงรถม้าที่เตรียมไว้ อินตงหลบข้างให้เกียรติเตี่ยขึ้นนั่งก่อนตามมารยาทแก่ผู้ใหญ่ หลังจากเตี่ยขึ้นนั่งแล้วจนค่อยขึ้นรถม้าโดยมีบ่าวหญิงสองนางคอยประคองตัวไว้ไม่เสียหลักล้มลง

    จังหวะนั้นเองที่อินตงสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจองมา นางหันหน้าไปด้านข้างตามความรู้สึก ก่อนจะถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจจนเซล้มไปทับบ่าวหญิงด้านหลัง

    “อย่าไป!! ห้ามไปนะ!!! เหมยเอ๋อร์ ฮือๆ เหมยเอ๋อร์มาหาเหนียงมา เหมยเอ๋อร์...”

    ภาพตรงหน้าเป็น ฟูเหรินสามที่วิ่งพุ่งเข้ามาหาแต่กับถูกบ่าวชายสองตัวรั้งตัวไว้ กระนั้นฟูเหรินสามก็ยังขัดขืน พยายามดิ้นให้หลุดพลางกรีดร้อง ตะโกนห้ามไม่อินตงขึ้นรถม้า

    ด้านอินตงเห็นฟูเหรินสามเป็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาทันที แต่...

    “เหมยเอ๋อร์! เวลาไม่เช้าแล้ว[10] เราควรรีบไป เรื่องเหนียงของเจ้า เตี่ยจะเล่าให้ฟังเอง”

    ดีชั่วอย่างไรนางก็เป็นลูกของเตี่ย ถึงไม่รักแต่ก็คงไม่คิดร้าย

    สุดท้ายอินตงก็ตัดใจขึ้นรถม้าไปกลับ ระหว่างทางไปโรงผ้าเตี่ยเล่าให้ฟังว่า สองสามวันมานี้ฟูเหรินสามป่วยหนักถึงขั้นเพ้อเพราะพิษไข้จนต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการ อาการคุ้มคลั่งนั่นก็คงเป็นหนึ่งในอาการเพ้อของฟูเหรินสาม แม้อินตงจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแต่ก็ไม่ได้เช่นกันว่าเป็นตรงไหน สุดท้ายจึงได้แต่ตัดสินใจเชื่อเตี่ย

    “เหมยเอ๋อร์ เตี่ยจะลงไปตรวจงานในโรงจำนำก่อน เสร็จแล้วเราคอยไปเลือกซื้อผ้ากัน”

    สำหรับนางเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สมัยนางยังเป็น เซี่ยอินตงในยุคปัจจุบันก็เคยที่ต้องคอยใพ่อแม่ทำงานให้เสร็จก่อนจะไปเที่ยวครอบครัวในวันหยุด ดังนั้นนางจึงรับคำเตี่ยสั้นๆแล้วนั่งรอในรถม้าอย่างสงบ

    ผ่านไปสามเค่อ รถม้าจึงเริ่มโยกคลอน อินตงเข้าใจว่าเตี่ยคงเสร็จธุระแล้ว สารถีจึงขึ้นมาประจำที่ ผ่านไประยะหนึ่งแล้วเตี่ยก็ยังไม่ขึ้นมา แต่รถม้ากลับเคลื่อนตัวออกไปแล้ว!!

    “เจ้า!! เจียงเหล่าเหยียเล่า”

    อินตงตกใจรีบตะโกนออกไปพร้อมกับเปิดหน้าต่างรถม้าหมายจะคุยกับสารถีให้รู้เรื่อง ทันทีที่นางเปิดหน้าชะโงกหน้าออกไปมอง เห็นหน้าตาสารถีก็ตกใจ

    คนละคนกับขามา คนๆนี้ไม่ใช่บ่าวสกุลเจียง หรือว่า...เรากำลังถูกลักพาตัว

    คิดได้ อินตงก็หมุนตัวกลับไปทางที่ผ่านมา หมายจะตะโกนให้เตี่ยและบ่าวสกุลเจียงเห็นนาง แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นสิ่งที่นางไม่อยากเชื่อสายตามันเป็นภาพเตี่ยที่กำลังหัวเราะอย่างเบิกบานหน้าโรงจำนำ ตาทั้งสองของเตี่ยจับจ้องมาที่รถม้าของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลังกลับไปขึ้นรถม้าอีกคันที่เตรียมไว้

    นางถูกหลอกแล้ว!!! ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว!!

    เช้านี้เตี่ยใจดีกับนางผิดปกติแต่นางก็ยังนึกเอะใจ ไหนยังฟูเหรินสามที่วิ่งออกมาเตือนนางนั้นอีก นางน่าจะคิดได้ ยังไงฟูเหรินสามก็เป็นแม่แท้ในชาติแม้ผิดหวังตาสายสัมพันธ์ยังเหลืออยู่ ย่อมต้องรักต้องเป็นห่วง แต่เตี่ยเองก็...เป็นพ่อแท้ๆ กลับทำนางได้ลงคอ

    นางจะน่าคิดได้ เตี่ยมีลูกหลายคนไหนเลยจะมาใส่ใจรักลูกทุกคนได้ นับอะไรกับลูกที่ถูกทักว่าเป็นดาวนำเคราะห์โศกสมควรถูกกำจัดอย่างนาง ที่ผ่านมาไม่ลงมือเห็นทีคงเพราะโอกาสไม่อำนวย ... มันน่าเจ็บใจนัก ที่ผ่านมานางเคยทำสิ่งใดให้หรือ เตี่ยจึงคิดไล่นาง ... คิดพลางน้ำตาก็นองหน้า หยาดแห่งความคับแค้นใจไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่ได้

    ชาติก่อนเป็น เซี่ยอินตงผู้อับโชค ไม่ว่าลำบากแค่ไหน ถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแกเช่นไร นางไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย งานหนักไม่ถ้อ งานเบาไม่ถอย สุดท้ายต้องมาจบชีวิตอย่างน่าอนาถ ไร้คนเหลียวแล

    ชาตินี้ก็เช่นกันรึ? แม้แต่ชาติใหม่นี้...ชีวิตก็ต้องเช่นนั้น ชีวิตที่ไม่มีความสำคัญ ชีวิตที่ไม่มีใครแยแส แม้แต่ครอบครัวก็ยังต้องการ!!

    ไม่! นางไม่ต้องการ ตอนเป็นเซี่ยอินตงนางยอมมามากเกินพอแล้ว  เซี่ยอินตงตายไปแล้วชีวิตนั้นก็ตายไปเช่นกัน นางขอสาบานชาตินี้จะต้องไม่เหมือนชาติก่อน นางจะไม่มีวันก้มหัวยอมรับชะตากรรมอีกต่อไป!

    ดี! เตี่ยไม่ต้องการนาง สกุลเจียงไม่ต้องการนาง ... แล้วใครสนกัน นางก็ไม่ต้องการครอบครัวเช่นนั้นเหมือนกัน ต่อจากนี้ไม่ว่าที่เช่นใด นางก็อยู่ด้วยตนเองให้ได้! คอยดูสิ!

    สุดท้ายอินตงก็ได้แต่ร้องไห้ สาบานดินฟ้าซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งหมดแรงแล้วผล็อยหลับไป รู้สึกตนอีกครั้งก็ยามที่ชายร่างยักษ์ผู้หนึ่งปลุกนางก็ลากตัวลงจากรถ ใช้ผ้าดำปิดตา อินตงรู้สึกเย็นที่ข้อมืออยู่แวบหนึ่งหลังจากนั้นก็ถูกแรงลากจูงไป นางสัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นชื้นของไม้และความสงบแบบธรรมชาติ คาดการณ์ว่าสถานที่นี้คงเป็นกลางป่ากลางเขาที่ไหนสักแห่ง นางรู้สึกได้ว่าตนเดินสะพานไม้แขวนเก่าๆที่ส่งเสียงเอียดอาดลมพัดหวิวใต้ขาทำให้รู้ว่ากำลังเดินข้ามหุบ นางได้ยินเสียงสะท้อนของน้ำ เสียงน้ำไหล คล้ายเสียงแม่น้ำ

    ตลอดทางเดินที่ผ่านมาทั้งขรุขระ ทั้งสูงชัน นางเดินบ้าง คลานบ้าง ล้มๆลุกๆอยู่หลายที แสงระหว่างเดินทางก็ค่อยๆลดลงจนตอนนี้มิดสนิท ต้องอาศัยมือจูงนำทางเพียงทางอย่างเดียว

    “คลายผ้าได้”

    เสียงทุ้มแหบดังขึ้น ก่อนที่ผ้าปิดตาจะคลายออกจนหลวม อินตงใช้มือเล็กทั้งสองดึงผ้าลง คำนิยามแรกแก่ทิวทัศน์ตรงหน้าคงไม่เกิน เมืองลับแล

    แสงส่องลอดผ่านช่องหินรำไร น้ำตกสายเล็กที่กลางลานตกลงในแม่น้ำที่ไหลตัดกลางพื้นที่ล้อมด้วยหน้าผาและบ้านเรือนปลูกกลางไว้ตามช่องหิน สวยงาม ลึกลับดุจภาพฝัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้อินตงอดสรุปว่า เมืองลับแล นี้คงซ่อนอยู่ในช่องเขาที่แม่น้ำตัดผ่านที่ไหนสักแห่ง

    ที่นี้...ที่ไหน

    คำถามแรกผุดขึ้นมาในหัวแต่ไม่ทันได้หาคำตอบ อินตงก็ถูกลากคอลงไปยังลานกว้างเบื้องล่างเพื่อไปรวมกับเด็กคนอื่น...คนอื่นที่ถูกนำตัวมาก่อนหน้า เห็นทีคงไม่ใช่แค่นางคนเดียวที่ถูกจับมา ที่ลานกว้างนี้คงรวมเด็กไว้กว่าสองพันคน เด็กที่นำมารวมกันส่วนใหญ่อายุประมาณห้าหกขวบ โตสุดก็น่าจะไม่เกินแปดขวบ เล็กสุดเห็นจะประมาณสี่ขวบ

    จับเด็กมามากขนาดนี้ต้องการทำอะไรกันแน่

    “ขอต้อนรับสู่สำนักเงา จงก้มดูข้อมือข้างขวาของเจ้า นั้นคือสังกัดและหมายเลขของเจ้าแต่ละคน ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่มีชื่อไม่มีแซ่ มีเพียงหมายเลขกับสังกัดเท่านั้น หากผู้ใดถูกจับได้ว่าเรียกชื่อ บอกแซ่กันจะต้องถูกทำโทษด้วยการโบย 100 ที”

    สำนักเงา...ชื่อนี้นางรู้จัก เคยได้ยินจากปากเตี่ยและฟูเหรินสามบางเป็นครั้งคราว รู้สึกจะเป็นหอขายข่าวลับที่สกุลเจียงผูกสัมพันธ์ด้วย ไม่คิดเลยว่าสักวันหนึ่งนั้นนางจะถูกสกุลตัวเองขายมาในที่เช่นนี้

    อินตงคิดในใจ ตาเหลือบมองไปที่ข้อมือขวาของตนเอง ไม่น่าถึงรู้สึกเย็นที่แท้ก็เขียนอักษรลงบนแขน อินตงดีใจที่ชาตินี้นางได้ร่ำเรียนเขียนอ่านตั้งยังเด็ก ทั้งอักษรในโลกนี้ก็คล้ายๆอักษรจีนที่นางคุ้นเคยอาจมีตัวต่างบ้าง เหมือนบ้าง แต่นางก็พอจะเข้าใจอยู่ เมื่อรวมสมองของเด็กที่มีเซลล์ประสาทดีๆกับจิตสำนึกแบบผู้ใหญ่ทำให้นางเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล้วตั้งแต่ห้าขวบ เร็วจนซือฝุ[11]ยังตกใจ เวลานี้นางจึงสามารถอ่านอักษรบนข้อมือออก

    “ตกเหนือ เก้าสอง”

    เหลือบตาไปมองแขนเด็กด้านขวาเขียนว่า ออก สี่สองเหลือบไปมองเด็กด้านซ้ายเขียนว่า ‘ตกใต้ ห้าแล้วอินตงก็เป็นเข้าใจ ที่แท้ชื่อทิศทั้งแปดก็คือสังกัด เลขที่ต่อท้ายก็เหมือนหมายเลขประจำตัว ถ้าเช่นนั้นนางก็อยู่สังกัดทิศตะวันตกเหนือ หมายเลขเก้าสิบสอง

    “เงียบ!!! ในเมื่อเป็นที่รู้กันแล้ว พวกเจ้าจงรวมกลุ่มตามตำแหน่งสังกัดของพวกเจ้าเสีย”

    เด็กแต่ละคนเริ่มเคลื่อนที่ไปมาตามคำสั่ง แต่อินตงยังยืนนิ่ง นึกถึงคำสั่งเมื่อกี้ดูเหมือนมีบางอย่างแปลกไป ถ้าหากจะให้รวมกลุ่มนึกถึงสมัยเรียนหนังสือคือต้องหาเพื่อนสังกัดเดียวกันหลังจากก็พยายามตะโกนบอกตำแหน่งให้คนอื่นที่สังกัดเดียวกันมารวมและกองเป็นกลุ่มใหญ่ แต่คำสั่งกลับใช้คำว่า รวมกลุ่มตามตำแห่งสังกัดคำนี้...น่าจะมีความหมายมากกว่าแค่รวมกลุ่ม

    ตาสอดส่องไปทั่วแต่ก็ยังไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด หรือเพราะอินตงได้ฟังคำเตือนของฟูเหรินสามจึงทำให้นางคอยพะวงจนคิดมากเกินไป

    แล้วสองตาก็พลันสังเกตเห็น ความแตกต่าง เด็กในที่นี้มีการตอบสนองที่ต่างกันสิ้นเชิงอยู่ ทั้งเด็กที่วิ่งวุ่น เด็กที่เดินช้าอย่างใจเย็น และเด็กที่ยืนอยู่กับที่ เด็กทั้งสามประเภท บ้างอยู่เป็นกลุ่ม บ้างก็อยู่คนเดียว ที่น่าสงสัยคือเด็กที่ยืนโดดเดียวด้วยสีหน้ามั่นใจได้นั่นกำลังคิดอะไร พวกเขารู้อะไรถึงได้มั่นใจในที่ยืนนั่นจนไม่ยอมไปรวมกลุ่มกับผู้อื่น

    อินตงเดินไปยังตำแหน่งของเด็กหญิงที่นางสงสัย ระหว่างเดินก็สังเกตรอบๆอย่างถี่ถ้วนจนกระทั่งไปยืนบริเวณนั้นก็ยังมองไปรอบๆ

    ไม่เห็นอะไร ไม่มีคำใบ้ ... ไม่สิคำพูดนั้นต้องมีความนัยซ่อนอยู่แน่ไม่งั้นก็...จะไม่มีเด็กที่ทำตัวแบบนี้อยู่ มันต้องมีอะไรสักอย่างสิ

    “ข้าจะนับถึงสิบ ... หากผู้ใดยังไม่อยู่ไม่ถูกจุดจะต้องถูกทำโทษ”

    ซ้าย ขวา หน้า หลัง ไม่มี  รึว่าด้านบน ก็ไม่มี...แล้วด้านล่าง

    อินตงก้มมองรอบนั้น แล้วก็บางสิ่งมันคือ รอยสลักบนพื้น ถ้าลองเดินตามรอยนั้น พบว่าเป็นรอยที่ลากจากกลางลานไปขอบลานลากเป็นเส้นตรงไปเรื่อย ใช่! ลานนี้เป็นรูปเหลี่ยม...รูปแปดเหลี่ยม เหมือนกระจกแปดเหลี่ยม[12] รอยสลักนั้นใช้บอกขอบเขตของพื้นในแต่ละทิศ เงยขึ้นมองตรงไปยังจุดกึ่งกลางเห็นว่ากลางลานแปดเหลี่ยมคือแท่นยืนของชายออกคำสั่ง

    “หนึ่ง...”

    ตอนแรกนางยืนประจันหน้ากับชายผู้นั้นเห็นแท่นเป็นวงกลมแต่มีบันไดทางขึ้นยื่นออกมา เวลานี้นางมองจากด้านหลังตรงกับพื้นที่บริเวณบริเวณบันไดเช่นกันเพียงแต่ด้านหลังนี้ไม่มีบันไดทางขึ้น

    “สาม...”

    บันไดนั้นใช้บอกทิศ! เหลือบซ้ายแลขวา พื้นที่แถวนี้มีแต่เด็กสังกัดใต้เป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้นางอยู่ในทิศใต้ ... พื้นที่เด็กสังกัดใต้ นางเป็นเด็กสังกัดตกเหนือก็ต้องเป็น ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ!! อินตงรีบวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันที

    “หก...”

    ใกล้จะถึงแล้ว... อีกนิดเดียว

    “เก้า... สิบ...”

    เซฟ...ทันเวลาพอดี อินตงยืนหอบห่างจากเส้นขอบแบ่งเขตมาไม่กี่ชุ่น ตอนนี้ส่วนใหญ่ยืนอยู่กับที่แล้วมีส่วนน้อยที่ยังวิ่งอยู่แต่ไม่ช้าก็จะถูกชายชุดดำมาจับตัวแล้วพาไปรวมกันนอกลานแปดเหลี่ยมเพื่อรอรับการลงโทษ

    ผู้คุมจะเข้าในขอบเขตทิศแล้วบอกให้เราเข้าแถวเรียงหนึ่งแล้วจะเปิดข้อมือขวาเพื่อยืนยันสังกัด เป็นไปอย่างอินตงเพิ่งคิดได้ สังกัดเป็นทิศบอกตำแหน่งที่เราควรจะอยู่ เด็กคนไหนอยู่ผิดที่จะถูกนำออกไปนอกลานเช่นกัน

    อินตงถอนหายใจอย่างโล่งอก แอบดีใจท่อย่างน้อยนางก็คิดออกจนได้...ไม่เช่นนั้นคงจะถูกทำโทษ ถึงจะยังรู้ว่าการทำโทษคืออะไรแต่ไม่ว่าหนักหรือเบาก็ล้วนแต่ไม่อยากโดนทั้งนั้น

    หลังจากการตรวจสอบเด็กบนลานก็ดูน้อยลงไป...แม้คนยังมากอยู่แต่เด็กที่ถูกนำไปนอกลานก็ไม่ใช่น้อยเช่นกัน กะด้วยสายตาแล้วก็ราวหลักร้อยคนขึ้น ชายชุดดำที่ออกคำสั่งบนแท่นบอกให้เด็กลานทุกคนหันไปมองเด็กนอกลาน พร้อมบอกว่า “เมื่อครู่เป็นการทดสอบปัญญาและไหวพริบของพวกเจ้า ผู้ใดไม่ผ่านการทดสอบจะต้องถูกลงโทษ ... จงมองให้ดี มองดูว่าโทษเมื่อทำการทดสอบไม่ผ่านนั้นเป็นเช่นไร”

    เด็กทุกคนหันไปมองนอกลานที่บัดนี้เต็มไปด้วยเด็กนั่งคุกเข่า ผู้คุมชักดาบตรงเข้าสังหารเด็กเหล่านั้น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณคล้ายสายฝนสีแดง เสียงหวีดร้องโหยหวยด้วยความกลัวและความทรมานดังระงม เด็กแต่ละคนพากันวิ่งกระจัดกระจายเพื่อหนีเงื้อมมือสังหาร แต่ก็ไม่พ้น เด็กทุกคนต้องถูกกำจัด เศษอวัยวะและซากศพตกกระจัดกระจาย

    “ช่วยด้วย...ได้โปรด”

    เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงม ไวกว่าความคิดขาของอินตงก้าวไปตามสัญชาตญาณ เธอเดินตรงไปยังเด็กชายที่ตัวเปื้อนเลือดที่ทรุดตัวอยู่บริเวณขอบลานอย่างอ่อนแรงหวังจะดึงตัวเขาที่ล้มลงให้ลุกขึ้นยืน ลูบหลังปลอบเด็กตรงหน้าให้หายตัวสั่น แต่เมื่ออินตงเอื้อมมือไปหาเด็กชายตรงหน้า สัมผัสที่ได้กลับเป็น ...ความว่างเปล่า

    เด็กชายเซล้มลงไปนอนแน่นิ่งต่อหน้าต่อตา รอยแดงชาดซึมออกทั่วแผ่นหลัง ดาบแกว่งสะบัดเป็นวง เงาแสงของดาบส่องประกายระยับ หยดเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่ว หยดหนึ่งกระเด็นมาโดนหลังมือที่นิ่งค้างไว้กลางอากาศนั้น ความรู้สึกอุ่นร้อนและกลิ่นค้าวของเลือดทำให้อินตงขวัญเสีย สติขาดกระเจิง แขนขาอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงจะประคองตัว ร่างเธอทรุดลงไปนั่งกับพื้น ลำคอตีบตัน รู้สึกคลื่นเหียนและ...

    อ้วก... 



    [1]   ฟูเหริน แปลว่า คุณนาย เป็นคำสำเนียงจีนกลาง หากเป็นสำเนีบงฮกเกี้ยนออกเสียงว่า ฮูหยิน ในที่นี้พูดถึงฟูเหรินสาม หมายถึง ภรรยายคนที่สาม
    [2]   เหล่าเหยีย แปลว่า นายท่าน 
    [3]   เตี่ย คำเรียกพ่อของคนจีนโบราณ ปัจจุบันครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนบางครอบครัวยังเรียกอยู่
    [4]  
    เจียงหนาน แปลว่า ตอนใต้ของแม่น้ำ หมายถึงพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางลงไปของแม่น้ำฉานเจียง ในสมัยโบราณเป็นที่ที่มีความเจริญสูง มักมีผู้มั่งมีปลูกเรือนริมน้ำไว้เป็นจำนวนมาก การตกแต่งสวยงาม นับว่าเป็นสวรรค์ริมน้ำแห่งหนึ่ง
    [5]   ต้นหลิว (หยางหลิว) หรือต้นวิลโลว์ ต้นไม้ใบระย้าขนาดใหญ่ นิยมปลูกริมน้ำ
    [6]   เหนียง หรือ เหนียงชิน เป็นคำเรัียกแม่ของคนจีนโบราณ
    [7]   เม่ย หรือ เมยเม่ย แปลว่า น้องสาว 
    ในที่นี้คือ ซือเม่ย ซือแปลว่าสี่ ซือเม่ยจึงแปลว่า น้องสาวคนที่สี่
    [8]   เจี่ย หรือ เจียเจี่ย แปลว่า พี่สาว ในที่นี้คือ ซานเจี่ย ซานแปลว่าสาม ซานเจี่ยจึงแปลว่า พี่สาวคนที่สาม
    [9]   เอ๋อร์ เป็นคำต่อท้ายชื่อผู้หญิงที่เอ็นดูหรือสนิทสนมด้วยของคนจีน คล้ายคำว่า จัง และ คุง ของคนญี่ปุ่น
    [10]   เวลาไม่เช้า เป็นสำนวนจีน แปลว่า ไม่มีเวลามาโอ้เอ้แล้ว
    [11]   ซือฝุ แปลว่า อาจารย์  
    [12]   กระจกแปดเหลี่ยม เป็นกระจกรูปแปดเหลี่ยมนิยมติดหน้าปะตูบ้าน

     

    ตามที่ @เล่ห์ดาริกา แนะนำให้เขียนคำแปลภาษาจีนในเรื่องเพื่อความเข้าใจ






     

     

    ทิ้งช่วงห่างอยู่หลายวันเหมือนกัน หลังจากลงบทนำไป หวังว่าไม่นานไปนะ
    สวัสดีนักอ่านทุกท่านคะ ... ย้อมเองคะและเช่นเคยวันนี้ลงตอนใหม่ไปคะ
    ยังไงก็คงคำแนะนำ ติชมได้เต็มที่ด้วยความสุภาพเช่นเคยคะ
    ขอโทษที่ลงนิยายค่อนข้างช้าคะ เพราะย้อมต้องทำงานช่วงเช้า มีเวลาเขียนแค่ตอนค่ำ 
    วันละประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมย้อมก็ไม่ได้แต่งเก่งแต่งลื่นอะไรมาก
    กว่าจะออกมาก็เลยนานหน่อยคะ ขออภัยจริง
    ....
    รีไรท์แล้วตามที่บอกคะ หวังว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะ
    พล็อตเรื่องแก้ใหม่เล็กน้อย เพื่อความสมเหตุสมผลค่ะ

    @นางในเงา ; ขอบคุณมากค่ะ ... แม้พออ่านซ้ำก็พบเลยว่าเขียนผิดเยอะมาก... ห่ะๆจะพยายามปรับปรุงค่ะ

    @look like ; อย่างที่ย้อมบอกไปว่าเวลาการแต่งค่อนข้างน้อยแต่ก็พยายามลงให้ได้เร็วสุดค่ะ ช่วงนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะอัพทุก 2-3 ค่ะ ส่วนเพลงเปิดชื่อ เพลง 
    步步夢歸塵  (ปู้ปู้เมิงกุ่ยเฉิน) หรือ ทุกย่างฝันกลายเป็นฝุ่น
    (ซึ่งชื่อนี้ย้อมโมเมตั้งขึ้นมาเองละค่ะ ห่ะๆ) ของ HITA คะ ลองไปฟังเพลงดูนะคะเพราะทุกเพลงเลย

    ขอบคุณทุกคอมเม้นและกำลังใจคะ ย้อมสู้ๆ!!

     

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×